มีไหม Sell in May / go Away ?

มีไหม Sell in May / go Away ?

มีไหม Sell in May / go Away ?

อากาศร้อนระอุไปทั่วทั้งประเทศ แต่ตลาดหุ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมาหาได้ร้อนแรงตามอากาศไม่ มีข่าวบวกให้หนุนตลาดแต่พอช่วงปลายเดือนมีข่าวลบเข้ามากดดันพอสมควรและด้วยมีวันหยุดยาวการซื้อขายจึงไม่มากนัก แม้สหรัฐฯยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม Fed ครั้งที่ผ่านมา บวกกับปัจจัยบวกในประเทศไทยเป็นตัวหนุนตลาดให้ไปทดสอบที่ 1,600จุดตามที่มีการคาดการณ์ไว้แต่ก็ยังไม่ไปถึงปลายเดือนเมษายนมีปัจจัยเข้ามากดดันตลาด และดูเหมือนเป็นปัจจัยจากต่างประเทศล้วนๆเลย

ผมจึงขอประเมินสถานการณ์ในเดือนพฤษภาคมนี้เลยว่าปัจจัยจากต่างประเทศที่สำคัญหลายเรื่องจะมีผลต่อตลาดพอสมควร แม้จะยังไม่เห็นสัญญาณที่เป็นลบอย่างรุนแรงแต่มันทำให้ตลาดเกิดการชะลอการซื้อขายและไม่แน่ใจ พฤษาคมนี้ทิศทางตลาดมีโอกาสจะเป็นไปได้ทั้งบวกและลบจากปัจจัยต่างประเทศล้วนๆ ดังนี้

-การเลือกตั้งฝรั่งเศส

เป็นสถานการณ์ที่ตลาดให้ความสนใจพอสมควรเพราะนโยบายทางการเมืองของผู้ชนะไม่ได้มีผลต่อประเทศเท่านั้นแต่มีผลไปถึงยูโรโซนด้วย ผลเลือกตั้งฝรั่งเศสรอบแรก ตลาดสหรัฐฯ-ยุโรป ตอบรับในทางที่เป็นบวก เนื่องจากตลาดมองว่า Macron มีโอกาสสูงกว่าที่จะชนะจากการเลือกตั้ง อีกทั้งนโยบายของ Macron จะเป็นบวกต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่านโยบายของ Le Pen

ผมประเมินผลต่อตลาดหุ้นหลังการเลือกตั้งรอบที่ 2ว่าหาก Emmanuel Macron ชนะจะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นโดยรวม โดยเฉพาะตลาดหุ้นยุโรปและกระแสเงินลงทุน (Fund Flow) อาจไหลออกจาก Emerging Market ไปยังตลาดยุโรป ขณะเดียวกันเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้น แต่หาก Marine Le Penสอบผ่านชนะเลือกตั้งจะถูกมองเป็นลบจากนโยบายที่จะนำประเทศออกจากการเป็นสมาชิกอียู ตลาดหุ้นทั่วโลกจะเป็นลบและคาดการณ์ต่อเลยว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะต้องออกมาตรการ QE เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของค่าเงินยูโร

-สถานการณ์เกาหลีเหนือ

ความตรึงเครียดในช่วงปลายเดือน เม.ย. ที่เกาหลีเหนือทดลองนิวเคลียร์ต่อเนื่อง จนสหรัฐฯเตรียมใช้กำลังตอบโต้ ประเด็นนี้ผมมองว่าหากไม่มีการยั่วยุหรือทดลองนิวเคลียร์ ก็จะไม่มีการใช้กำลังกัน แต่ความเสี่ยงนั่นคือการคาดเดาความคิดของผู้นาเกาหลีเหนือซึ่งเป็นเรื่องยาก สถานการณ์จะอึมครึมไปเช่นนี้เนื่องจากไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเกาหลีจะทำหรือไม่ทำอะไร ผลต่อตลาดหุ้นจะมีน้อย ยกเว้นว่ามีข่าวที่กระทบตลาดอย่างแรง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จากปัจจัยดังกล่าวสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นไทย นั่นคือ มีความเสี่ยงเงินลงทุนจะไหลออกจากตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทยขณะเดียวกันการลงทุนภาครัฐซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในประเทศมีน้อยลงด้วย ตลาดจึงน่าจะปรับตัวลงในช่วงสั้นๆ จนกว่าจะมีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามา นั่นนำไปถึงการแนะนำการลงทุนว่า ให้เลือกพิจารณาเป็นหุ้นรายตัวที่มีความเสี่ยงต่ำ

อย่างไรก็ตามแล้วอีกปัจจัยสำคัญที่กำลังจะตามมาอีกคือ ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เดือน มิ.ย. นี้มีโอกาสมากขึ้นอาจทำให้เกิดการไหลออกของเงินลงทุน (Fund Flow) จากตลาดเกิดใหม่ไปสู่ตลาดสหรัฐฯ เป็นความเสี่ยงของตลาดหุ้นไทย แต่ก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆ ผมกลับมองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed เป็นการแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้นดีขึ้นต่อเนื่อง และเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโลก

"หากดัชนีปรับตัวลงมาจาก "แรงขาย" ทำกำไร ก็เกิดโอกาส "เข้าซื้อ" ในเวลาเดียวกันโดยรวมแล้วผมยังประเมินว่ายังเป็นทิศทางที่บวกต่อตลาดหุ้นไทย แต่อาจต้องดูเป็นรายกลุ่มที่พื้นฐานดี ดังนั้นปัจจัยต่างประเทศที่ทำตลาดผันผวน "แรงซื้อ" จึงเป็นจังหวะที่เล็งขายทำกำไร "แรงขาย" ที่เกิดขึ้นจึงเป็นโอกาสเข้าลงทุนครับ ผมเชื่อว่า Sell in May’ แต่ไม่ควร Go Away’ นะครับ "

KTBST Wealth Management ยังคงแนะนำการลงทุนให้เล่นสั้นๆ แบบ “ลงซื้อ ขึ้นขาย” ในระยะนี้ เพื่อลดความเสี่ยงของตลาด รวมถึงกระจายลงทุนในไปสินทรัพย์อื่นๆ ทั้ง ตราสารหนี้ , กองทุนรวม , และการลงทุนอัตโนมัติ KTBST Smart ALgo ครับ ท่านสามารถติดต่อที่ปรึกษาการลงทุน KTBST Private Wealth Management ได้ที่ 02 648-1747 / 02 648-1458

ท่านสามารถติดตามการลงทุนที่น่าสนใจจาก KTBST Wealth Management ได้ที่www.facebook.com/ktbst.channel