กล้าไหม...ที่ 50:50

กล้าไหม...ที่ 50:50

กล้าไหม...ที่ 50:50

บทความเรื่อง “ไล่ล่า บิน ลาเดน บทเรียนเชิงบริหาร” ที่ผมเขียนเมื่อเดือนที่แล้ว ผู้อ่านหลายคนแจ้งมาว่า อยากอ่าน “ภาคสอง”....วันนี้ตามคำขอครับ

ผมจะไม่พูดถึงประเด็นทางการเมืองระหว่างประเทศ เช่นการบุกรุกเข้าไปไล่ล่าในปากีสถาน ว่าเป็นสิ่งถูกต้องหรือไม่ ครั้งนี้ผมจะวิเคราะห์การเป็นผู้นำของโอบามา ที่ต้องตัดสินใจในสถานการณ์ที่ยากมาก และมีความเสี่ยงหลากหลาย เพราะ ณ เวลานั้น ฝ่ายงานความมั่นคงของสหรัฐฯ ยังไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่า “ชายร่างสูง” ที่เดินออกกำลังกายบ่อยครั้ง บนสนามหน้าบ้านในปากีสถานหลังนั้น...ใช่ บิน ลาเดน หรือไม่

เพราะถ้ารู้ว่าไม่ใช่ ก็ไม่ต้องตัดสินใจอะไร แต่เมื่อไม่แน่ใจ เขาจึงต้องถามว่า “ความเป็นไปได้ ที่บุคคลนั้นเป็น บิน ลาเดน” มีสักกี่เปอร์เซ็นต์

โอบามา ประชุมเครียดกับรองประธานาธิบดี โจ ไบเดน รมต. ต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน และทีมงานความมั่นคงระดับสูง แล้วถามความเห็นทีละคน และขอให้อธิบายเหตุผลด้วย

การที่คนเราจะมีความเห็นแตกต่างกันนั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะมีข้อมูลที่ไม่เหมือนกัน แต่กรณีนี้ทุกคนได้รับข้อมูลจากฝ่ายความมั่นคง ที่ตรงกันและเท่าเทียมกันหมด ความเห็นที่แตกต่าง จึงมาจากประสบการณ์ของแต่ละคนเป็นหลัก

บางคนบอกโอบามาว่า มีความมั่นใจสูงถึง 70% บางคนไปไกลถึง 95% แต่บางคนก็บอกว่ามั่นใจเพียง 10% เท่านั้น

เมื่อได้รับฟังทุกความเห็นแล้ว โอบามาสรุปว่า ถ้างั้นก็คงราวๆ 50:50” ซึ่งหมายความว่า โอกาสที่จะไม่ใช่ บิน เดน มีถึงครึ่งต่อครึ่ง สถานการณ์เช่นนี้จึงยากต่อการตัดสินใจยิ่งนัก

โจ ไบเด็น รองประธานาธิบดี ให้ความเห็นอย่างหนักแน่นว่า ไม่ควรปฏิบัติการใดๆ โดยเด็ดขาด เพราะถ้าทำลงไป และปรากฏว่าไม่ใช่บิน ลาเดน ตัวจริง โอกาสที่โอบามา จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดี สมัยที่ ก็เลิกพูดกันได้เลย

เดิมพันจึงสูงมาก....ไม่ว่าจะเป็น เงินที่จะต้องใช้ไปกับอาวุธยุทโธปกรณ์ ชีวิตทหาร ความเสี่ยงทางการเมืองในประเทศและต่างประเทศ ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัยในชีวิตของคนอเมริกัน ฯลฯ แต่โอบามา ก็ต้องตัดสินใจ ทั้งๆ ที่เขาก็ยังไม่รู้เลยว่า บิน ลาเดน อยู่ในบ้านหลังนั้น จริงหรือไม่

โอบามา บอกว่า “มันเป็นเรื่องธรรมดาเหลือเกิน เพราะทุกวัน ผมก็มีแต่เรื่องที่ยากลำบากในการตัดสินใจ เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน ประเภท 50:50 ทั้งนั้นแหละ ถ้ามันชัดเจน ก็ไม่มาถึงประธานาธิบดีหรอก

คำพูดของโอบามา ทำให้ผมนึกถึงประเด็นที่ผมเคยสอนนักบริหาร มานานหลายสิบปี ผมพูดเปรียบเปรยเสมอว่า “ที่ลูกน้องเดินมาหาเรา ก็เพราะเขามีปัญหาที่เขาแก้เองไม่ได้ ถ้าแก้ไขได้ เขาไม่เดินมาหาเราหรอก”

และผมมักเปรียบด้วยว่า “มันก็เหมือนลิงที่เกาะไหล่ ลูกน้องแกะออกเองไม่ได้ เราเป็นหัวหน้า เราต้องแกะลิงให้เขา ให้เขาเดินตัวเบาออกไป ยิ่งถ้าเราเป็น ซี​อีโอ เจ้าลิงบนไหล่ลูกน้อง มันก็ต้องตัวใหญ่มาก จนแทบจะกลายเป็นกอริลลาไปแล้ว เพราะถ้าตัวเล็กกว่านี้ ลูกน้องเราเขาคงช่วยกันแกะออกไปได้ ไม่มาถึงมือเราหรอก”

ในสถานการณ์ 50:50 เช่นนั้น โอบามาถามว่า ถ้าเขาตัดสินใจสั่ง “ปฏิบัติการ” เขาจะมี “ทางเลือก” อะไรบ้าง คำตอบก็คือ หนึ่ง ทิ้งระเบิดจำนวนมหาศาล ให้บ้านหลังนั้นและบ้านข้างเคียง “แหลกเป็นจุณ” ชนิดไม่มีใครรอดเด็ดขาด (แต่ก็จะทำให้ผู้หญิง เด็ก และผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตจำนวนมาก) สอง ใช้โดรน ยิงชายร่างสูงขณะที่เขาเดินออกกำลังกาย (แต่ก็มีโอกาสเพียงนัดเดียวเท่านั้น พลาดไม่ได้เลย) สามส่งกำลังทางเฮลิคอปเตอร์ ไปลงที่บ้านหลังนั้น (ซึ่งมีโอกาสพบบิน ลาเดน และเก็บข้อมูลต่างๆ กลับมาด้วย)

โอบามา นอนคิดคนเดียว หลับๆ ตื่นๆ ไปกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ รุ่งเช้าคำสั่งของเขาคือ ปฏิบัติการ ทางเฮลิคอปเตอร์” จากนั้นเขาก็ทำเสมือนหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาขึ้นเครื่องบินไปเยี่ยมประชาชนที่แอละแบมาซึ่งถูกน้ำท่วม ตอนค่ำไปงานดินเนอร์นักข่าว เขาเล่าเรื่องด้วยอารมณ์ขัน รุ่งขึ้นออกรอบกอล์ฟสบายๆ 9 หลุม ก่อนเข้าห้องตอนบ่าย เพื่อติดตามการปฏิบัติการที่ยากเย็น แบบสดๆ เวลาราวตีสองที่ปากีสถาน จนทุกอย่างเรียบร้อยด้วยดี

ผมอยากจะบอกว่า นี่แหละคือความแตกต่าง ระหว่างการตัดสินใจของคนเป็นซีอีโอ กับผู้บริหารระดับถัดลงมา เมื่อเป็น ซีอีโอ ก็มีแต่ปัญหาระดับ 50:50 และเจอแต่ กอริลลา เข้ามาให้แกะตลอดเวลา ส่วนเจ้าลิงแสม ตัวเล็กตัวน้อย คนอื่นเขาทำกันได้ครับ

ใครที่ชอบแบบ 80:20 หรือ 90:10 ก็ทำงานสบายๆ ไปเถอะครับ แต่ถ้าคิดจะเป็น ซีอีโอ ไม่ว่าของบริษัท หรือของประเทศก็ตาม คุณกล้าไหมครับ...ที่ 50:50