"เล่าเรื่องฟินเทค...จากมหานครเซี่ยงไฮ้ ถึงบางกอก"

"เล่าเรื่องฟินเทค...จากมหานครเซี่ยงไฮ้ ถึงบางกอก"

"เล่าเรื่องฟินเทค...จากมหานครเซี่ยงไฮ้ ถึงบางกอก"

ครั้งนี้ผมขอใช้พื้นที่นี้เล่าเรื่องเบาๆ จากประสบการณ์ของผู้ช่วยผม คุณชุตินธร อนันปิยภา เธอได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ กับประสบการณ์ที่ได้สัมผัสกับฟินเทคในประเทศจีนเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เธอเล่าว่า “ก่อนไป คนนั้นก็ขู่ ! คนนี้ก็ขู่ ! เฟซบุ๊ค ยูทูปและไลน์เล่นไม่ได้! วีแชทกับคิวคิวเท่านั้น ! 

การสื่อสารล่ะ ส่งภาษาอังกฤษไป จะเป็น “หว่ออ้ายหนี่” กลับมาแน่ๆ ก่อนเดินทางก็แลกเงินหยวน เตรียมพกทุกบัตรไปเต็มกระเป๋า ก็ใช้ชีวิตไปกับมินิมาร์ทประจำหน้าโรงแรม เดินเล่นถนนหนานจิง กินลมชมวิวหอไข่มุก นั่งชิลๆ ถนนซินเทียนตี้ ชีวิตดี แต่เราแอบรู้สึกประหลาดๆ ทุกครั้งเวลาจ่ายเงินคือ ทำไมคนเขามองเราแปลกๆ ผ่านไปวันนึงก็ถึงบางอ้อ... อ๋อ...ยาวๆ ว่า คนที่นี่เขาไม่ใช้เงินสดกัน นอกจากคนที่ติดอะไรแบบเดิมๆ จริงๆ เท่านั้นล่ะ 

อ้าว! ไม่ใช้เงินสด แถมบัตรเครดิตก็ไม่เห็นใช้กันด้วย แล้วเขาใช้อะไรกัน! เขาใช้ อาลีเพย์ วีแชทวอลเลต! บางคนอ่านมาถึงตรงนี้ ก็นึกไปว่า ประเทศไทยก็มี อาลีเพย์นะ ซึ่งก็เข้ามาไทยตั้งแต่ ปลายๆ ปี 2559 แล้ว และก็ยังมีช่องทางการจ่ายเงินอีกตั้งมากมาย ไม่เห็นแปลกอะไรเลย! 

แปลกตรงที่ เมื่อนึกถึงประเทศจีน เราชอบคิดไปว่าเขายังช้าอยู่ แต่กับฟินเทค ที่โน่นเขามีมานานแล้ว และเขาขยับเร็วมากจนคนส่วนใหญ่ของเขาแทบไม่ใช้เงินสด หรือเครดิตการ์ดกันแล้ว ไปไหนเขาพกเพียงสมาร์ทโฟน ไปได้ทุกที่ แทบไม่ต้องส่งภาษาใดๆ แค่ส่งสมาร์ทโฟนไป จะยี่ห้อไหน ราคาเท่าไหร่ไม่เป็นปัญหา เพียงยื่นให้พนักงาน สแกนดังติ้ด เป็นอันจบการจ่ายเงิน ที่แสนง่าย ที่เมืองไทยยังไม่ถึงจุดนั้น ทั้งที่ก็มีคนพยายามทำมากอยู่นะ แต่ยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก ยังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ยังต่อไม่เสร็จ แล้วเขาทำได้อย่างไรทั้งที่ประเทศเขาใหญ่และประชากรเยอะมาก เขาสามารถดึงดูด และ ปลดล็อกคนของเขาให้เข้าสู่ยุคที่ การเงินหลอมรวมกับเทคโนโลยีอย่างลงตัว กับประสบการณ์ทางการเงิน และการจับจ่ายใช้สอยแบบไร้ลิมิต ไร้ขอบเขตได้สำเร็จ เทียบเท่า ซิลิคอน วัลเล่ย์ ของอเมริกา

ฉะนั้นกระแสฟินเทคที่มาแรงแซงโค้ง ที่เปลี่ยนแปลงโลกไปภายในพริบตา จากเรื่องเงินที่เคยเป็นเรื่องยาก กลายเป็นเรื่องง่าย หมดยุคถอนเงินสดใส่กระเป๋าเจมส์ บอนด์ เป็นยุคที่ธนบัตรจะเป็นของมีค่าให้สะสม แต่คำถามคือ "คุณพร้อมหรือยัง?” ยิ่งสำหรับธุรกิจ ที่ทุกคนต้องขยับตัว ต้องปรับให้เร็ว ให้ทันกับโลกของเทคโนโลยีที่ไปไวกว่ารถไฟชินคังเซน ฟินเทคไม่ใช่เรื่องไกลตัว หากแต่เป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นปรากฏการณ์แห่งการปฏิวัติวงการการเงิน ที่สามารถทำให้คุณ อยู่รอด หรือ ล้มตาย เป็นผู้ชนะ หรือ ผู้แพ้ เป็นการเปลี่ยนเกมส์ธุรกิจ ที่ทำให้เกิดผลดีกับผู้บริโภค และท้าทายผู้ทำธุรกิจ เกิดการลดต้นทุน ทำให้ราคาถูกลง รวมถึงมีการคืนกำไรกลับมาในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นลูกเล่นทางการตลาดที่ต่างกันไป กับการเงินที่ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส 

ไม่เพียงแค่นั้น ฟินเทคไม่ใช่แค่เรื่องของการจ่ายเงิน หากแต่เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคได้หลายด้านในคราวเดียวกัน อีกทั้งยังเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้กับผู้บริโภค เรียกว่า"ครบ จบ ในแอพพลิเคชั่นเดียว"

อย่างเช่น “เถาเป่า” ในประเทศจีน ดังที่สุด ในจีนไม่มีใครไม่รู้จัก อยากได้อะไรล่ะ เสื้อผ้า.. อ๊ะๆ ไม่ใช่เพียงแต่เสื้อผ้า ที่ขายเป็นโหลๆ แต่..เป็นแบรนด์ชั้นนำที่ฮิตๆ กัน ที่ว่าเป็นรายใหญ่ติดตลาดแน่ๆ ยังต่างพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเถาเป่า หลายคนถามว่า เพราะอะไร เพราะยุคนี้คนจีนเขาไม่ไปชอปปิงตามห้างร้านกันแล้ว เขาเลือกซื้อของบนสมาร์ทโฟน จากเถาเป่านี่ล่ะ เอะอะก็เถาเป่าๆ ไม่ว่าจะของกินของใช้ ไปจนถึงสินค้าทางการเงินและประกันภัย “ครบ จบที่เถาเป่า“ แต่ที่ยังเห็นผู้คนเดินชอปปิงอยู่ที่ถนนดังอย่างหนานจิงตงลู่ ก็มีแต่นักท่องเที่ยวนี่ล่ะที่ไปเดินถ่ายรูปเล่น จนร้านรวงที่ถนนคนเดินดังหลายสายในเซี่ยงไฮ้ต้องปิดตัวกันไป ทั้งที่ประเทศเขามีประชากรมากโข แต่กลับสู้กระแสฟินเทคไม่ได้ แล้วเราล่ะ คนไทยพร้อมที่จะตามกระแส..หรือสวนกระแส…

และนี่ก็คือเรื่องเล่าจากมหานครเซี่ยงไฮ้ ถึงบางกอก ที่ผมคิดว่า ยังไม่สายครับที่จะรีบปรับ ขยับให้ทันตอนนี้ เป็นความท้าทายอย่างนึง รวมถึงเป็นการสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับอุตสาหกรรม และประเทศของเราครับ"