การเบนปัญหาภายในออกสู่ภายนอกของอเมริกา

การเบนปัญหาภายในออกสู่ภายนอกของอเมริกา

การทำงานในตำแหน่งประธานาธิปดีสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลาเพียงร้อยวันของโดนัลด์ ทรัมป์ กลับทำให้เกิดสภาวะปั่นป่วน

และขัดแย้งกันไปทั่ว ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาเองและในโลก

ความพยายามที่จะใช้อำนาจฝ่ายบริหาร โดยไม่ได้คำนึงถึงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติ ในความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจอื่นในสังคมอเมริกา จำทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรตามคำมั่นสัญญาตอนหาเสียงได้เลย ทุกเรื่องที่พยายามทำนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่ามาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการกีดกันขัดขวางคนจากประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามหลายประเทศ ความพยายามจะล้มล้างนโยบายสวัสดิการของโอบามา เรื่องมาจนถึงความต้องการตัดงบประมาณที่รัฐส่วนกลางต้องให้แก่รัฐท้องถิ่นหากรัฐท้องถิ่นใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งในการกีดกันคนต่างชาติ

ในร้อยวันที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจได้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มองตัวเขาเชื่อมกับประเทศอเมริกาเหมือนกับว่าเขาคือเจ้าของบริษัทที่ชื่อว่า “ประเทศสหรัฐอเมริกา” ทรัมป์คิดว่าเขาเป็นเจ้าของประเทศทันทีโดยผ่านคะแนนเสียงที่เลือกตั้งเขาเข้ามาดำรงตำแหน่ง แม้ว่าเขาจะรู้สึกมีปมด้อยอยู่ในกรณีที่แพ้คะแนนเลือกตั้งโดยตรง ( Popular Vote ) ดังจะเห็นได้จากการหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นในทวีตเตอร์ที่บอกว่าเขาเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งโดยตรง ( หากเขาได้รับเสียงอย่างท่วมท้นจริงๆ ผมเดาว่าเขาคงอยากจะเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นประเทศทรัมป์ไปแล้ว ) ลิ่วล้อจำนวนหนึ่งที่ได้ออกรายการโทรทัศน์ได้พยายามแก้ตัวแทนในเรื่องนี้ แต่ก็ถูกวิจารณ์กลับอย่างไม่มีชิ้นดี

ความพยายามในการทำตามที่หาเสียงเอาไว้แต่ไม่ประสบผลสำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว ได้ผลักดันให้ทรัทป์ต้องคิดหาทางทำอะไรเพื่อให้คนอเมริกาที่ชื่นชอบเขายังชื่นชอบต่อไป ซึ่งเขาก็ตัดสินทำในสิ่งที่เป็นอำนาจของฝ่ายบริหารอย่างเด็ดขาดฝ่ายเดียว นั้่นคือ อำนาจทางการทหาร

เขาได้เลือกกรณีโจมตีซีเรียและประสบผลสำเร็จอย่างน่าทึ่ง คนอเมริกาที่ไม่เคยชอบทรัมป์ก็ยังยอมให้คะแนนหรือรู้สึกว่าในกรณีนี้ทรัมป์ทำถูกต้องแล้ว

ที่ผมกล่าวว่าเขาได้เลือกใช้การโจมตีซีเรียเป็นเครื่องมือในการหาเสียง ก็เพราะผมไม่เชื่อว่าทรัมป์จะรู้สึกสงสาร/เห็นใจ/และคิดจะต่อสู้เพื่อพิทักษ์ชาวซีเรียให้พ้นจากการใช้อาวุธเคมีที่รุนแรงหรอกครับ เพราะการหาเสียงที่ผ่านมาและการออกคำสั่งในการกีดกันคนเข้าประเทศได้ชี้ให้เห็นว่า “ มนุษยธรรม” ไม่ได้อยู่ในความคิดของทรัมป์เลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเขาต้องเลือกทำอะไรสักอย่างเพื่อบอกแก่ตนเองและคนอเมริกันว่าเขาได้ทำสิ่งที่ดีงาม

ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ใช้อาวุธเคมี ทรัมป์เป็นผู้ฉกฉวยโอกาสได้แต้มไปเพียงผู้เดียว

สิ่งที่ตามมา ก็คือ ภายหลังจากที่ทรัมป์พบว่าการแสดงบทบาทผู้พิทักษ์ความถูกต้อง ความเหมาะสมในโลกใบนี้นอกจากจะทำให้เขามีสถานะ และมีความหมายขึ้นในสายตาสังคมอเมริกันแล้ว การเลือกแสดงบทบาททางต่างประเทศมากขึ้น ทำให้เกิดการเบนความสนใจผู้คนจากเรื่องที่ล้มเหลวในประเทศของเขา ไปสู่ภาพพจน์ที่ดีขึ้นจากบทบาทผู้พิทักษ์ความถูกต้องในโลก

ประเทศเกาหลีเหนือจึงเป็นเป้าที่ทรัมป์เลือก เพราะเกาหลีเหนือมีภาพของผู้ร้ายที่คุกคามความสงบสุขของชาติอื่น ด้วยการแสดงถึงการครอบครองอาวุธร้ายแรง ประกอบกับภาพผู้นำที่ดื้อรั้นไม่ยอมรับการต่อรองประการใด

การเบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนจากปัญหาภายในประเทศ ให้มองและสนใจในปัญหานอกประเทศ เป็นกลยุทธที่ผู้นำในแต่ละยุคแต่ละสมัยได้ใช้มาโดยตลอด และมักจะประสบความสำเร็จหากสามารถทำให้เห็นได้ว่า ศัตรูนอกประเทศนั้นร้ายกาจและอุบาทว์จริงๆ

ทรัมป์เลือกเกาหลีเหนือเป็นเป้าในการสร้างภาพและสร้างคะแนนให้แก่ตนเอง โดยไม่กังวลต่อความตึงเครียดที่จะเพิ่มมากขึ้นในประเทศเกาหลี ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ทันทีที่เรือดำน้ำและกองเรือสหรัฐเดินทางเข้าคาบสมุทรเกาหลี คนเกาหลีและคนญี่ปุ่นก็รู้สึกทันทีถึงอันตรายที่กำลังมีโอกาสจะเกิดขึ้น เพราะหากเกาหลีเหนือตัดสินใจใช้อาวุธใดๆตอบโต้อเมริกา อาวุธก็คงจะตกลงมาใส่หัวคนธรรมดาๆในสองประเทศนี้อย่างแน่นอน

หากเกิดอะไรขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลีหรือเกาะต่างๆของญี่ปุ่น คนอย่างทรัมป์ก็ไม่สนใจหรอกครับ เพราะอเมริกาอยู่ห่างเกาหลีเหนือ อย่างมากก็อาจจะสูญเสียบางส่วนของแสนยานุภาพทางทะเลไปบ้าง แต่คะแนนความชื่นชมในประเทศจะพุ่งขึ้นสูงแน่ๆเพราะทรัมป์ได้แสดงให้เห็นถึง “ ความยิ่งใหญ่” อีกครั้งหนึ่ง และยื่งตอกย้ำว่าทรัมป์คิดถูกแล้วในการจัดการเกาหลี ทั้งๆที่การสั่งการให้กองทัพมาเกาหลีนั้นแหละคือต้นเหตุ

ทรัมป์เป็น “ คนไม่มีหัวนอนปลายตีนทางการเมือง” การตัดสินใจทั้งหมดจึงเป็นการคิดเพียงเฉพาะหน้าและเป็นเรื่องเฉพาะหน้าที่เป็นส่วนประโยชน์ของเขาเท่านั้น ปัญญาชนฝ่ายหลังสมัยใหม่ท่านหนึ่งที่เชียรทรัมป์ก่อนการเลือกตั้งเพราะต้องการให้ชัยชนะของทรัมป์เป็นการสั่งสอนพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ โดยที่ท่านผู้นั้นคิดว่าระบอบ ระบบการเมืองของอเมริกาเข้มแข้งมากพอที่คนๆเดียวอย่างทรัมป์ ไม่สามารถจะทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อประชาชนได้ ซึ่งค่อนข้างจริงในกรณีเรื่องภายในประเทศ แต่เมือทรัมป์เบนออกมาเล่นในต่างประเทศกลับกลายเป็นเรื่องสอดคล้องกับกรอบคิดของการเมืองแบบมหาอำนาจอเมริกา และส่งผลในการขยายปฏิบัติการ และกำลังจะก่อหายนะให้แก่สังคมอื่นและโลกโดยรวมด้วย