เมื่อกระแสเงินทุนเปลี่ยนทิศ

เมื่อกระแสเงินทุนเปลี่ยนทิศ

เมื่อกระแสเงินทุนเปลี่ยนทิศ When the wind changes its course…from US to ‘Europe’

เราเริ่มต้นปี 2560 ด้วยความคาดหวังต่อ ปธน.ทรัมป์ ว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขนานใหญ่ แต่แล้วความหวังที่นักลงทุนทั่วโลกวางไว้ก็เริ่มเลือนลางลงทุกทีๆ รายละเอียดการลดภาษีนิติบุคคลที่เป็นนโยบายชูโรงของ ปธน.ทรัมป์ ก็ยังไม่มีออกมาให้เห็น ในระยะเวลา 3 เดือนของการทำงาน ปธน.ทรัมป์ ได้รับบทเรียนสำคัญที่ว่า การบริหารประเทศตามความต้องการของตนเองนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด เห็นได้จากความล้มเหลวในการแก้กฎหมาย Obamacare ที่เป็นชนวนสร้างข้อกังขาต่อรัฐบาลทรัมป์ว่าจะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตามที่เคยหาเสียงไว้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มปรับตัวลงตามแรงลมที่อ่อนแรง โดยดัชนี S&P 500 เคยขึ้นไปทำจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ในเดือนมี.ค.2560 ซึ่งปรับขึ้นถึง 10.8% ในเวลา 4 เดือน หลังการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี จากจุดสูงสุดในวันนั้น ดัชนีเริ่มขาดแรงหนุนและอ่อนแรงลง

ก่อนอื่นต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงเติบโตดี แต่ปัจจัยขับเคลื่อนต่อจากนี้ดูจะเบาบางลง แม้ว่ารายงานเศรษฐกิจที่มาจากการสำรวจความมั่นใจ หรือ Soft data อย่างดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จะส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง แต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่วัดจากกิจกรรมทางธุรกิจที่แท้จริง หรือ Hard data กลับชะลอลง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบริษัทต่างๆ เอียนเอียงและคาดหวังกับนโยบายของ ปธน.ทรัมป์ ไว้มาก เราจึงไม่อาจเห็นตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะออกมาเซอร์ไพรส์ตลาด และผลักให้ตลาดหุ้นขึ้นต่อจากนี้ได้มากนัก บวกกับระดับราคาของดัชนี S&P 500 ที่ถือว่าแพง เพราะซื้อขายอยู่ที่ 17.8 เท่าของกำไรสุทธิต่อหุ้น สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ย้อนหลังที่ระดับ 14.7 เท่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จึงมีแรงส่งให้ขึ้นต่ออย่างจำกัด และคาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ รวมถึงมีความเสี่ยงในการปรับฐานหาก ปธน. ทรัมป์ สร้างความผิดหวังให้ตลาดไปเรื่อยๆ

หุ้นยุโรป” จะขึ้นแท่นเป็นตลาดที่ถูกจับตามองต่อจากนี้ โดยจะถูกขับเคลื่อนด้วย 3 ปัจจัยบวก ปัจจัยแรก คือ ประเด็นการเมืองที่เริ่มคลี่คลายจากผลการเลือกตั้งรอบแรกของฝรั่งเศสที่เพิ่งผ่านพ้นไป โดยผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี 2 คนสุดท้าย คือ นาย Emmanuel Macron และนาง Marine Le Pen ซึ่งตลาดคาดว่านาย Macron จะชนะการเลือกตั้งรอบสองที่จะจัดขึ้นในวันที่ 7 พ.ค. ความกังวลถึงโอกาสที่ฝรั่งเศสจะขอแยกตัวออกจาก EU ตามสหราชอาณาจักร (FREXIT) ที่นาง Le Pen เคยหาเสียงไว้จึงตกไป ความเป็นหนึ่งเดียวกันของ EU จะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ซึ่งเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น เห็นได้จากนักลงทุนที่กลับเข้าสู่โหมด Risk-on เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ส่งผลให้ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสปรับขึ้นกว่า 4.3% หลังทราบผลเลือกตั้ง ปัจจัยถัดมา คือ เศรษฐกิจยุโรปที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด โดยในช่วงหลัง ตัวเลขเศรษฐกิจ เช่น อัตราการว่างงานลดลง ผลผลิตอุตสาหกรรมและยอดปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น สร้างความเซอร์ไพรส์แง่บวกให้ตลาดอย่างต่อเนื่อง เรามองว่าเศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตได้ต่อภายใต้นโยบายการเงินของ ECB ที่ยังคงมาตรการ QE ไว้ที่ 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ท่ามกลางตลาดที่คาดว่า ECB จะเปลี่ยนทิศทางเพื่อ taper เร็วๆ นี้ ในส่วนของปัจจัยสุดท้าย คือ ราคาซื้อขายปัจจุบันถูกกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ ทั้งนี้ ดัชนี Euro STOXX ซื้อขายที่ 14.9 เท่าของกำไรสุทธิต่อหุ้น เทียบกับดัชนี MSCI World ซึ่งเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นประเทศพัฒนาแล้วที่ซื้อขายอยู่ 16.8 เท่า