หยุดตีทะเบียนสื่อ หยุดครอบงำประชาชน

หยุดตีทะเบียนสื่อ หยุดครอบงำประชาชน

3 พ.ค.ของทุกปีสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ประกาศให้เป็นวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก เป็นเวลากว่า 24 ปีแล้ว

 ที่ทุกประเทศซึ่งเป็นสมาชิกได้จัดกิจกรรม เพื่อให้สังคมตระหนักในบทบาทของ“สื่อสารมวลชน” ฐานะปากเสียงของประชาชนที่มีเสรีภาพ รวมถึงเพื่อสื่อสารไปยังรัฐบาลผู้มีอำนาจในประเทศ ที่ต้องเคารพการทำหน้าที่ และสนับสนุนเสรีภาพแห่งการแสดงความคิด ความเห็น และการแสดงออกโดยสุจริต

ก่อนถึงวัน“เสรีภาพสื่อมวลชนโลก ปี2560" จะมาถึงสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดย ฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ จัดกิจกรรมให้สื่อมวลชน-ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในกองบรรณาธิการ ร่วมส่งสโลแกนประกวด เพื่อใช้ในงานวันเสรีภาพสื่อมวลชนโลก โดยยึดเหตุการณ์ที่กำลังมีความพยายามผลักดัน“กฎหมายคุมสื่อฯ”

การเปิดให้ส่งสโลแกนเข้าประกวด เพื่อคัดเลือกให้เป็น“ธงนำ”ของงานเสรีภาพสื่อมวลชนโลก โดย ปราเมศ เหล็กเพชร์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ย้ำว่านักข่าวคือพลังสำคัญต่อการขับเคลื่อนงานขององค์กรวิชาชีพ และหลังจากที่ได้วิเคราะห์แล้วว่าร่างพระราชบัญญัติ (...) การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน ออกโดย คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่เขียนให้“ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน”ต้องมีใบอนุญาต และใบอนุญาตดังกล่าวนี้สามารถถูกเพิกถอนได้โดยกลุ่มบุคคล ซึ่งมีตัวภาครัฐเข้าร่วม จึงเปิดทางให้มีการแทรกแซงและควบคุมการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน

สโลแกนที่ชนะจากการตัดสินของคณะกรรมการฯ คือ“หยุดตีทะเบียนสื่อ หยุดครอบงำสื่อมวลชน”ซึ่งเป็นการผสม 2 สโลแกน จากนักข่าว 2 คน คือ สุธิดา ปล้องพุดซา นักข่าวจากช่อง 9อสมท. ส่งสโลแกนว่า“หยุดตีทะเบียนสื่อ หยุดปิดกั้นเสรีภาพประชาชน” และอรรถชยา โทนุศิษย์ ผู้ช่วยหัวหน้าข่าวหน้าหนึ่ง นสพ.เดลินิวส์ สโลแกนที่ส่งคือ “หยุดกฎหมายคุมสื่อ หยุดครอบงำประชาชน” โดยนายกสมาคมนักข่าวฯ อธิบายความว่าทั้ง2สโลแกน มีถ้อยคำที่ทรงพลัง และตรงกับสถานการณ์ทั้งคู่ 

 สำหรับความในใจของ 2 ผู้ชนะเลิศ ต่อกิจกรรมครั้งนี้ เห็นตรงกันอย่างยิ่งว่า การกำกับมาตรฐานข้อมูลข่าวสาร หรือตรวจสอบจริยธรรมของนักข่าว เป็นเพียงข้ออ้างที่ภาครัฐต้องการควบคุมการนำเสนอข้อเท็จจริง มากกว่ามุ่งหวังที่จะสร้างคุณภาพของการสื่อสารข้อเท็จจริงสู่ประชาชน

“สุธิดา” สะท้อนว่าเมื่อมีอาญาสิทธิที่ให้องค์กรใดลงโทษผู้ประกอบวิชาชีพได้ ผ่านการยึดใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ นั่นเท่ากับสร้างความหวาดกลัวการทำหน้าที่ตรวจสอบ นำเสนอข้อเท็จจริงของนักข่าว นำมาซึ่งการขาดความอิสระต่อการนำเสนอข้อมูล

ขณะที่“อรรถชยา”เห็นไปในทางเดียวกันว่า สื่อมวลชนอาจถูกขวางการทำหน้าที่เพราะเงื่อนไขที่ต้องมี“ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ” ที่เพิกถอนได้ นั่นเท่ากับว่า อิสระของการทำข่าว โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลจะลดน้อยลง

“สื่อมวลชนเป็นวิชาชีพที่ต่างจากอาชีพอื่น เพราะต้องทำงานตรวจสอบ เปิดโปง ขุดคุ้ยการทุจริต ประพฤติมิชอบของผู้มีอำนาจและรัฐ ดังนั้นเมื่อมีเงื่อนไขดังนี้ จึงถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของการนำเสนอข่าวสารอย่างรุนแรง"

ดังนั้นข้อสังเกตหนึ่งที่อาจพิจารณาได้จากความต้องการให้มีกฎหมายคุมสื่อ คือกลัวการถูกเปิดโปงจากสื่อใช่หรือไม่ เพราะที่ผ่านมาสื่อได้ทำหน้าที่เปิดโปงความไม่ชอบมาพากล จนเรื่องขึ้นสู่ชั้นศาลในหลายคดี

นอกจากรางวัลชนะเลิศแล้ว ยังมีสโลแกนของตัวแทนสื่อมวลชนที่ผ่านเข้ารอบอีก10 ชิ้น อย่าง สมัชชา หุ่นสาระ อดีตนักข่าวสายการเมือง ทำเนียบรัฐบาล ปัจจุบันสังกัดฐานเศรษฐกิจ ให้สโลแกนว่า “กฎ(หมาย)คุมสื่อ...กดเสรีภาพ” มรุต มะหะหมัด นักข่าวรัฐสภา นสพ.ไทยรัฐ เขียนสโลแกนว่า“ตีทะเบียน..สื่อมวลชน เท่ากับ ปล่อยคอร์รัปชันทำลายชาติ”, อนุชา ทองเติม นักข่าวการเมือง นสพ.มติชน”ส่งสโลแกนว่า “เสรีภาพ ผลประโยชน์ชาติ ปราศจากการครอบงำ”โดยให้เหตุผลว่า หากมีการออกกฎหมายคุมสื่อ เท่ากับการปล่อยให้การคอร์รัปชัน ซึ่งเป็นปัญหารากฐานของการพัฒนาประเทศ

ขณะที่สื่อภูมิภาค ร่วมส่งสโลแกนเข้าประชันด้วย โดยตัวแทนสายเหนือ วริษฐา ภักดี นักข่าว นสพ.ลานนาโพสต์ ส่งสโลแกน“ต้านกฎหมายคุมสื่อ ยืนหยัดเสรีภาพบนความรับผิดชอบ” สื่อภาคใต้ศุภกรณ์ แสงสว่าง นักข่าวนสพ.พิทักษ์ไทย จ.ระนอง ส่งสโลแกน“สื่อคือโรงเรียนของสังคม อย่าปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ” เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีสโลแกนขอนักข่าวโทรทัศน์-ช่างภาพ-นักข่าวหนังสือพิมพ์ที่ผ่านรอบคัดเลือก อาทิ สโลแกน“เลิกกฎหมายคุมสื่อฯ เปิดทางเสรีภาพประชาชน”ของ ภัทราพร ตั๊นงาม ผู้สื่อข่าวเฉพาะกิจ-สายการสื่อสาร สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส” หรือ นฤพล อาจหาญ นักข่าวช่อง 8 ให้สโลแกนว่า“ควบคุมสื่อ มัดมือประชาชน” ธนพล บางยี่ขัน นักข่าวสายการเมือง นสพ.โพสต์ทูเดย์ ส่งสโลแกน “ขึ้น..ทะเบียนสื่อ ลด...เสรีภาพประชาชน รวมถึงช่างภาพมือรางวัล ภัทรชัย ปรีชาพานิช สังกัดโพสต์ทูเดย์ เจ้าของสโลแกน“หยุด กม.คุมสื่อ หยุดย้อนยุคคุมความคิด”

ขณะที่มุมของนักกฎหมายอย่าง ชำนาญ จันทร์เรือง คอลัมนิสต์นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ส่งสโลแกน“รัฐควบคุมสื่อ คือ ควบคุมเสรีภาพประชาชน”เข้าประกวด สะท้อนมุมมองว่าความพยายามควบคุมสื่อ เท่ากับความพยายามควบคุมความคิดของประชาชน ซึ่งฝ่ายรัฐทั้งมาจากเลือกตั้ง หรือมาโดยอำนาจพิเศษ พยายามทำมาตลอด 

ชำนาญ บอกว่า การกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อต้องมีใบอนุญาตโดยอ้างเพื่อควบคุมมาตรฐานการทำงานนั้น ถือเป็นมายาคติ แต่ใช้จริงไม่ได้ เพราะการตรวจสอบการทำหน้าที่สื่อข่าวนั้น คนอ่านจะเป็นผู้ตัดสินเองว่า สื่อไหนมีคุณภาพ สื่อไหนไม่ดี ดังนั้นอย่าคิดว่าหากมีกฎหมายแรงแล้วจะป้องกันได้ อย่างกฎหมายยาเสพติด ต่อให้เขียนแรงแค่ไหน ปัญหายาเสพติดก็ไม่ได้ลดลง

ขณะที่สโลแกนของ วิจักร์พันธุ์ หาญลำยอง ผู้สื่อข่าวสายการเมือง นสพ.ไทยโพสต์ ที่ว่า“เสรีภาพ ไร้พันธนาการ หยุดใช้ อธิปไตย ในดุลยพินิจ” สะท้อนให้เห็นความชอบธรรมกรณีให้อำนาจกลุ่มบุคคล ในนาม“สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ”ชี้คุณ ชี้โทษ และใช้ดุลยพินิจกำหนดโทษทัณฑ์ ที่มีขั้นสูงสุดคือเพิกถอนความเป็นสื่อมวลชน

“สื่อไม่กลัวการปฏิรูป แต่การปฏิรูปที่ดีนั้นต้องคำนึงถึงบริบทความจริง ซึ่งร่างกฎหมายคุมสื่อฯ ของกมธ. สื่อมวลชน ในสปท. คือการผ่องถ่าย ยกอำนาจไปให้คณะบุคคล ทั้งที่ไม่ใช่คนที่คลุกคลีกับวงการสื่อมวลชน และไม่ได้เข้าใจในความเป็นไปของวงการ ถ้าจะพูดถึงการตรวจสอบการทำงานของสื่อมวลชนมันก็มีกฎหมายอื่นๆ บังคับใช้อยู่ และปัจจุบันสื่อมวลชนก็ถูกฟ้องร้องจากกฎหมายเหล่านั้นจำนวนมาก”

อย่างไรก็ดีทั้งหมดนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของมุมมองคนในวงการสื่อสารมวลชน ต่อร่างกฎหมายคุมสื่อมวลชนในยุค4.0 ที่คนวงการสื่อร่วมกันต่อต้านกฎหมายการละเมิดสิทธิการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร และการรับรู้ข้อมูลข้อเท็จจริงของประชาชนที่องคาพยพของรัฐบาลพยายามผลักดันอยู่

................................................

ฝ่ายสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปสื่อ 

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย