เป็นคนไทยต้องกล้าพูดความจริง

เป็นคนไทยต้องกล้าพูดความจริง

มีคนวิจารณ์นโยบายป้องกันอุบัติภัยทางถนน ของรัฐบาลในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ในเชิงเย้ยหยันหรือกล่าวหา

ทำนองว่าดีแต่ไม่ถูกที่ถูกเวลา กระทั่งรัฐบาลต้องเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายอย่างเต็มรูปแบบไปปลายปี แต่สำหรับผมถือว่า ความกล้าหาญในการทำในสิ่งที่อาจกระทบต่อคะแนนนิยมของรัฐบาล แต่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมนี้ เป็นสิ่งที่คนไทยพึงเรียนรู้และนำไปปฎิบัติ เพราะหากเรามีความมั่นใจในสิ่งที่ทำแล้ว ว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมไม่มีนัยอะไรแอบแฝงไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จงมั่นใจเดินหน้าต่อไป

กล่าวได้ว่าเป็นเรื่องพิลึกอย่างยิ่งที่คนไทยจำนวนหนึ่ง มองราคาเข็มขัดนิรภัยและการปรับเปลี่ยนแก้ไขอุปกรณ์จดทะเบียนรถ ให้ถูกต้องเป็นเรื่องสิ้นเปลืองหรือพูดอย่างแรงๆ คือไปเห็นเรื่องเงินทองไม่กี่บาทราคาแพงกว่าชีวิตของพวกเขา ที่ต้องเขียนเช่นนี้เพราะหากมีเงินซื้อรถกระบะราคาร่วมล้านบาท จะผ่อนจะดาวน์เท่าใดหรือจะได้มาด้วยวิธีการใด ก็ต้องถือว่าเงินขนาดซื้อรถได้ไม่จนแล้วครับ จะบอกว่ารวยก็ใช่ที่ แต่การอ้างโน่นนี่ ด้วยความเห็นแก่ความสุขสบายส่วนตัว เคยดูคลิปในอินเทอร์เน็ตหรือไม่ที่รถกระบะขนคนงานไปงานก่อสร้างแล้วเทกระจาด สังเวยกันไปกี่สิบชีวิต ผู้รับเหมานายจ้างที่เห็นแก่ตัวก็พูดไปตามประสาคนมักง่าย เห็นแก่เม็ดเงินทุกสตางค์ที่ลงทุนไปแต่ไม่คำนึงถึงชีวิตคน 

ส่วนพวกที่เฮโลสาระพาไปกับเขาด้วย ก็มีบรรดาพวกที่จะเดินทางไปร่วมประเพณีสงกรานต์ยังต่างจังหวัดไกลๆ เป็นอันตรายมากเพราะเรื่องอุบัติเหตุชื่อมันก็บอกอยู่โทนโท่ ว่าเกิดแบบปัจจุบันทันด่วนเป็นเหตุการณ์เฉพาะหน้า ใครเล่าจะรู้ได้ว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรเมื่อใด ถ้าเราไม่ป้องกันไว้ล่วงหน้า บอกได้เลยว่าไม่รักชีวิตตัวท่านเองแล้วจะให้ใครมารับผิดชอบชีวิตพวกท่านกันเล่า

ผมเลยไม่แปลกใจเลยที่คนของเราถูกกล่าวหาว่าไร้ความรับผิดชอบไม่มีระเบียบวินัย ก็ต้องนำเหตุผลข้างต้นมาอธิบายให้เห็นกันชัดๆ อีกครั้ง เหมือนคำสอนในภาษิตโบราณ ที่สอนให้เรารักตนเองก่อนจะไปสมัครรักใคร่คนอื่น เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ และแจ่มชัดขึ้นก็คือ “หากเรายังไม่สามารถดูแลรับผิดชอบตัวเองได้ แล้วใยท่านจะไปแส่หาเรื่องไปจุ้นจ้านวุ่นวายกับคนอื่นเขา” 

คำพูดประโยคนี้เหมาะที่จะไปพูดกับคนที่อยากมีโน่นนี่ ทั้งเรื่องของอำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ อย่างคนที่อยากเป็นนักการเมือง เป็นผู้ทรงเกียรติ แต่ยังไม่มีความพร้อมอะไรเลย ก็เรียกร้องให้ผ่อนกฎระเบียบ กติกา ทำทุกอย่างให้ตัวเองมีคุณสมบัติหรือมีเขี้ยวเล็บจะไปยืนอยู่ในแถวเดียวกับคนที่เขามีความพร้อมให้ได้ เมื่อไม่เป็นตามที่ตนเองคิดก็ตีโพยตีพาย อ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง สังคมเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ ทั้งที่ “การทำงานการเมือง” ไม่ใช่ “หน้าที่ของคนทุกคน” เป็นเรื่องของ “คนบางคนที่มีความพร้อมทั้งคุณสมบัติไม่มีลักษณะต้องห้าม เป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ” 

ทำไมจึงไปเข้าใจได้ว่า การเก็บค่าสมาชิกพรรคการเมืองก็ดี การให้มีทุนในการจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองเป็นการรังแกคนจนไปได้อย่างไร ดูไปเหมือนกับเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องคอย “อุ้ม” คนทุกคน แต่จัดว่าเป็นการกระทำที่ผิดและไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง อยากให้พวกเรายึดถือและน้อมนำพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ทรงสอนให้พวกเรารู้จักจับปลามิใช่รอรับปลาที่มีคนหยิบยื่นให้อย่างเดียว พระองค์ทรงเน้นย้ำที่จะ “ช่วยเหลือเขาให้เขาช่วยเหลือตัวเองได้”

แต่สิ่งที่การเมืองนำเอา “ประชานิยม” แบบผิดๆ มาให้ประชาชนเสพกระทั่งติดกันงอมแงมยิ่งกว่ายาเสพติด ทำให้คนไทยคอยแต่ชะเง้อชะแง้แลดูว่า ใครจะเอาอะไรมาให้อีก คนที่คิดอะไรตื้นๆ ก็มัวแต่มองสิ่งที่เป็นกฎระเบียบที่มีความมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์กับคนส่วนใหญ่กลายเป็นเรื่องหยุมหยิม ไม่ชอบที่จะเคารพกฎหมาย เพราะไม่สะดวกสบาย ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญหากต้องยอมปฎิบัติตามในสิ่งที่อาจเคยลัดคิวได้ หรือเคยได้รับการอำนวยความสะดวกกระทั่งเคยชิน 

ผมมิได้บอกว่ารัฐบาลที่เป็นอยู่นี้ดีที่สุดหรือเลอเลิศเหนือกว่าใคร แต่เชื่อว่าหลายเรื่องที่ได้กระทำไปมีเจตนาดีและหากเรื่องใดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือมีปัญหาธรรมาภิบาล ทั้งสื่อ ทั้งองค์กรอิสระรวมทั้งภาคประชาชนที่เฝ้าจับตามองอยู่ เขาเอาเรื่องกันแบบกัดไม่ปล่อย อย่างเรื่องบ่อน เรื่องซื้อขายตำแหน่ง เห็นเป็นข่าวกันขึ้นหน้าหนึ่งให้อื้ออึงไปทั่ว นี่ก็กำลังจับตาดูคนที่เอาเรื่อง “บ่อน” มาเปิดเผย เห็นว่าหลังสงกรานต์เขาจะเปิดโปงให้เห็นกันชัดๆ ว่า มีคนในฝั่งไทยที่ได้ประโยชน์โภชน์ผลของการเปิดบ่อนในพื้นที่ที่เป็นปัญหานี้ว่ามีใครบ้าง 

ส่วนตัวแล้วชอบคนพูดจริงทำจริง อยากเห็นว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง เราจะได้เห็นความกล้าหาญของคนไทย ในแบบที่เราอยากได้อยากมีเพิ่มอีกหนึ่งคน ผมคอยดูอย่างใจจดใจจ่อ