คิมผู้ลูกฮึกเหิม สร้างนิวเคลียร์ยิ่งกว่าคิมผู้พ่อ

คิมผู้ลูกฮึกเหิม  สร้างนิวเคลียร์ยิ่งกว่าคิมผู้พ่อ

แผนที่นี้แสดงที่ตั้งของสถานีทดลองนิวเคลียร์ และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลก

สถานี Sinpo ทางตะวันออกของประเทศคือฐานเรือดำน้ำและท่าเรือน้ำลึก อีกทั้งยังเป็นฐานยิงขีปนาวุธ เป็นจุดที่ยิงขีปนาวุธเมื่อเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่เป็นการทดลองที่ล้มเหลวเพราะเกิดระเบิดเสียก่อน

นักวิเคราะห์คาดเดาว่าหากย้อนพฤติกรรมที่ผ่านมา เกาหลีเหนือจะไม่ยอมเลิกเพียงเพราะการทดลองครั้งใดครั้งหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จ จะต้องมีการทำซ้ำอีกจนประกาศชัยชนะได้

คำถามสำคัญก็คือว่าโสมแดงจะทดลองนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 ในเร็ว ๆ นี้หรือไม่?

หากทดลองจริง ก็จะเป็นสถานี Punggye-ri ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่เห็นในแผนที่ ภาพถ่ายจากดาวเทียมที่ปรากฏในเว็บไซต์ 38 North บอกว่าทุกอย่าง “พร้อม” สำหรับการทดลองอาวุธร้ายแรงครั้งใหม่ อยู่ที่คิมจองอึนจะกดปุ่มเมื่อไหร่เท่านั้น

ภาพประกอบระบุว่าเกาหลีเหนือภายใต้การนำของคิมจองอิลผู้พ่อ และคิมจองอึนผู้ลูก ได้ทดลองนิวเคลียร์มาแล้ว 5 ครั้งเมื่อไหร่บ้าง

จะเห็นว่าคิมจองอึนผู้ลูกมีความเร่าร้อนในการพัฒนาอาวุธพลังทำลายล้างสูงมากกว่าพ่อ และตั้งแต่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำก็มุ่งสร้างเสริมแสนยานุภาพทางทหารอย่างไม่ลดละ จนถึงจุดเดือดวันนี้เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯและต้องการจะแสดงว่าตนสามารถจะ “จัดการ” กับผู้นำโสมแดงคนนี้ได้

คำถามใหญ่ก็คือว่าถึงวันนี้เกาหลีเหนือสามารถพัฒนานิวเคลียร์ ที่ยิงไกลไปถึงสหรัฐอเมริกาที่เรียกว่า Intercontinental Ballistic Missile (ICBM) หรือยัง?

ข่าวกรองสำนักไหนก็ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ แม้แต่นักวิเคราะห์รอบ ๆ ทรัมป์เองก็ยังไม่อาจจะฟันธงว่าอาวุธร้ายแรงที่สุดในคลังแสงของ “คิมน้อย” นี้มีพลังทำลายสหรัฐฯได้มากน้อยเพียงใด

ที่แน่ ๆ ก็คือขีปนาวุธพิสัยกลาง ที่ติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ของเกาหลีเหนือนั้น สามารถสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ให้กับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ค่อนข้างแน่นอน

เกาหลีเหนือประกาศจะแจ้งมาตลอดว่าหนึ่งในเป้าการถล่มของเขาคือ ฐานทัพสหรัฐในเกาหลีใต้และญี่ปุ่น เพราะเขาอ้างว่านั่นคือภัยคุกคามต่อเกาหลีเหนือ ที่จะต้องถูกขจัดออกไปก่อน

แต่การที่ทรัมป์ย้ำหลายครั้งว่าเขาถือว่าเกาหลีเหนือเป็น “ภัยคุกคาม” อันดับหนึ่งของสหรัฐฯที่จะต้องถูกจัดการไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจีนจะให้ความร่วมมือในภารกิจนี้หรือไม่ก็ตาม ย่อมสะท้อนว่าฝ่ายความมั่นคงระดับสูงของวอชิงตัน เห็นพ้องต้องกันว่าอาวุธร้ายแรงที่คิมน้อยกำลังพัฒนานั้น มาถึงจุดที่ไม่อาจจะปล่อยให้เดินหน้าต่อไปได้

จึงเกิดคำว่า pre-emptive strike ที่ทำให้เกาหลีเหนือต้องตอบโต้ด้วยกลยุทธ์เดียวกัน

เพราะต่างคนต่างมีแนวทางจะ “โจมตีศัตรูก่อนที่ศัตรูจะสามารถโจมตีเราได้” จึงทำให้อุณหภูมิโลกพุ่งพรวดพราดขึ้นมา

การเผชิญหน้าระหว่างทรัมป์กับคิมจองอึนมาถึงจุดที่น่าหวาดเสียว เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ฟังเสียงทัดทานของจีน ที่เรียกร้องให้ถอยคนละก้าว และกลับไปสู่โต๊ะเจรจา

เพราะหากเกิดสงครามขึ้นจริง จะไม่ใช่เพียง “ไม่มีผู้ชนะ” เท่านั้น แต่ผลร้ายที่ตามมาจะทำให้ประเทศอื่นที่ไม่ใช่คู่กรณีโดยตรงต้องกลายเป็น “ผู้แพ้” อีกด้วย!