นี่ละ'ลัทธิทรัมป์' (Trump Doctrine) : ถล่มก่อน คุยทีหลัง!

นี่ละ'ลัทธิทรัมป์' (Trump Doctrine) : ถล่มก่อน คุยทีหลัง!

ผมตื่นขึ้นมาเช้าเมื่อวาน พร้อมข่าวว่าเกาหลีเหนือได้ทดลองขีปนาวุธรอบใหม่... แต่ด้าน ไม่สำเร็จ

เพราะระเบิดตอนที่ส่งจรวดขึ้นจากฐานยิงที่ Sinpo ทางเหนือของประเทศ

แปลว่าความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับโสมแดงขยับขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

เกิดคำถามว่าระหว่างคิมจองอึนกับโดนัลด์ ทรัมป์ใครจะกะพริบตา หรือยอมถอยก่อน?

อีกคำถามหนึ่งคือใครบอกว่าทรัมป์ ไม่มียุทธศาสตร์ของตัวเองหรือที่เรียกว่า Trump Doctrine?

หากประเมินจากแนวปฏิบัติของทรัมป์ เรื่องการเมืองการทูต และการทหารก็พอจะบอกได้ว่า ลัทธิทรัมป์ คือ “Military First” ไม่ใช่ “America First” อย่างที่เคยประกาศมาก่อนหน้านี้อย่างเดียว

เพราะแกสั่งถล่มซีเรียด้วยจรวด Tomahawk 59 ลูกเสร็จ ก็มีการหย่อน มารดาแห่งระเบิดทั้งปวง หรือ Mother of All Bombs (MOAB) ลงในอัฟกานิสถานขณะที่สั่งให้เรือบรรทุกเครื่องบินยักษ์ USS Carl Vinson เป็นแกนนำฝูงเรือจู่โจมมุ่งสู่คาบสมุทรเกาหลี เพื่อกดดันเกาหลีเหนือหลังจากบอกปักกิ่งว่า ถ้าคุณไม่ช่วยเราแก้ปัญหาเกาหลีเหนือ เราก็จะทำของเราเอง

พร้อมกับประกาศก้องไปทั่วโลกว่า All options are on the table ซึ่งแปลว่าทุกหนทางของการเผชิญหน้ากับเกาหลีเหนือ จะได้รับการพิจารณารวมถึงการใช้กำลังทหาร

ไป ๆ มา ๆ ลัทธิทรัมป์” กับ “ลัทธิคิม” ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ เพราะใครไปเกาหลีเหนือก็จะรับรู้ว่าคำขวัญหลักของคิมจองอึนวันนี้คือ “การทหารต้องมาก่อน ในการผลักดันการสร้างชาติ

ภาพที่นำมาประกอบคอลัมน์วันนี้นอกจากเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Carl Vinsonของสหรัฐฯแล้ว อีกภาพหนึ่งมาจากงานสวนสนามยักษ์ที่เปียงยางเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาในวัน Day of the Sun กลายเป็นประเด็นของนักวิเคราะห์ทั้งหลายว่านี่คืออาวุธพลังทำลายล้างสูงของเกาหลีเหนือหรืออย่างไร?

นักข่าวต่างประเทศที่ได้รับเชิญไปเกาหลีเหนือเพื่อรายงานงานอลังการนี้ได้รับการบอกเล่าล่วงหน้าว่าจะมี ‘big event’ หรือ “งานใหญ่” ซึ่งถูกตีความว่า

ทดลองอาวุธนิวเคลียร์ครั้งที่ 6

ได้เห็นคิมจองอึนตัวเป็น ๆ ในงานสวนสนามแสดงแสนยานุภาพทางทหาร

ต่างวิเคราะห์กันใหญ่ว่านี่คือ “ขีปนาวุธใต้ทะเล” ที่ใช้กับเรือดำน้ำหรือเป็นขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีปที่เรียกว่า Intercontinental Ballistic Missile (ICBM) ซึ่งสามารถจะถล่มเป้าหมายในสหรัฐอเมริกาได้

ขณะที่การคาดเดาอีกทางหนึ่งคือทรัมป์จะสั่งให้มีการถล่มเกาหลีเหนือหรือไม่...และจะถล่ม “ก่อน” หรือ “หลัง” เกาหลีเหนือทดลองนิวเคลียร์ครั้งใหม่?

เมื่อคำถามเป็นอย่างนี้ก็แปลว่าคนส่วนใหญ่เชื่อว่าทรัมป์ และคิมจองอึนมุ่งแต่จะใช้กำลังต่อกัน เพราะไม่มีการพูดถึงการเจรจาทางการเมืองอย่างที่จีนได้พยายามจะเสนอเป็นทางออกจากวิกฤติครั้งนี้

เราไม่เห็นสหรัฐฯหรือเกาหลีเหนือเรียกร้องไปที่สหประชาชาติ ให้ช่วยจัดการให้มีการนั่งลงเจรจาหาทางออกทางการเมือง แทนที่จะใช้วาทะกร้าวข่มขู่กันและกันไปมาจนสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก

เพราะหากเกิดสงครามขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการถล่มใส่กันหรือเป็นการ โจมตีสกัดศัตรู ที่เรียกว่า pre-emptive strike ก็หนีไม่พ้นว่าจะต้องเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับประเทศต่าง ๆ ที่ไม่อาจจะประเมินได้

ความกลัว สงครามโลกครั้งที่สาม” ได้ระบาดบานปลายไปไกลทั่วทุกมุมโลก เพราะมองไม่เห็นว่าใครหรือองค์กรไหนในโลก จะสามารถลดอุณหภูมิแห่งความร้อนแรงของบรรยากาศในคาบสมุทรเกาหลีได้เลย

ทรัมป์ใช้นโยบายให้อำนาจการตัดสินใจแก่ผู้บัญชาการทหารต่าง ๆ ในอันที่จะโจมตีเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางกว่าที่เคยมีมาในการบริหารประเทศของผู้นำสหรัฐ

ทำให้เกิดคำถามว่าการถล่มซีเรียก็ดี การหย่อนระเบิดยักษ์ลงอัฟกานิสถานก็ดี มีกระบวนการตัดสินใจที่ทรัมป์เองเป็นคนเปิดไฟเขียว หรือเป็นการตัดสินใจในระดับปฏิบัติการทางทหารเป็นหลักแล้วจึงแจ้งให้ประธานาธิบดีทราบ

กรณีเกาหลีเหนือคงไม่มีคำถามนี้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าทุกการตัดสินใจด้านทหารนั้นคิมจองอึนเป็นผู้สั่งการอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่หากทรัมป์ กระจายอำนาจ การตัดสินใจเรื่องการโจมตีเป้าหมายในเรื่องใหญ่ ๆ เช่นนี้แล้ว คำถามใหญ่ก็คือว่าในท้ายที่สุดเขาในฐานะประธานาธิบดีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดย่อมไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้

หรือนี่คือ “ลัทธิทรัมป์” ที่มีมิติ “ทหารมาก่อน” แล้วค่อยพิจารณาผลกระทบด้านการเมือง การทูตและเศรษฐกิจ?

แค่คิดก็หวาดเสียวเต็มทีแล้ว!

เพราะเป็น เกมทหารที่ไม่มี ทางออกทางการเมืองและไม่รู้ว่า end-game หรือเกมจะจบอย่างไร