เมื่อความจริงไม่ทำให้คนเปลี่ยนใจ

เมื่อความจริงไม่ทำให้คนเปลี่ยนใจ

ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีไว้เพื่อให้คนได้รับรู้ความจริงที่เป็นจริง แต่ความจริงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิด

 หรือความเชื่อของคนได้เสมอไป คนเราเปลี่ยนความเชื่อตามใจ มากกว่าตามความจริง และเราเลือกรับเฉพาะความจริงที่สนับสนุนความเชื่อ ที่มีมาแต่เดิมของเรามากกว่าที่จะเปิดกว้างรับทุกส่วนของความจริงที่เพิ่งค้นพบ หรือแม้แต่ความจริงที่ล่วงรู้กันมานานแล้ว ในขณะที่อุปทานที่แทบไม่มีส่วนใกล้เคียงความจริงใด ๆเลยกับเปลี่ยนความเชื่อของคนในบางสังคมได้ดีกว่า อยากให้ดูเป็นคนวิเศษ ก็สร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนอุปทานไว้ให้มากมายรอบตัว ไม่ช้าไม่นานก็กลายเป็นผู้วิเศษในความเชื่อของคนจำนวนหนึ่งได้

ในวันที่อินเทอร์เน็ตมีบทบาทในชีวิตของผู้คนมากมายเช่นในปัจจุบัน ความจริงค้นหาได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก แต่คนเรากลับใช้อินเทอร์เน็ตตอกยำ้ความเชื่อที่ผิด ๆของตนเอง ด้วยการแสวงหาข้อมูลจากคนที่เชื่อผิด ๆ เหมือนกับตนเอง แค่พบว่ามีข้อมูลความเชื่อแบบเดียวกับตนเองสักหกเจ็ดข้อมูลขึ้นไป ความเชื่อนั้นก็กลายเป็นความจริงไปเลย และหากพบเจออะไรที่ขัดแย้งกับที่ตนเองเชื่อ ก็จะพยายามค้นหาข้อมูลอื่นมาหักล้างกับข้อมูลที่ขัดแย้งนั้น อินเทอร์เน็ตให้ความจริง แต่อินเทอร์เน็ตก็ทำให้อุปทานกลายเป็นความจริงได้เช่นเดียวกัน การมีระบบสืบค้นข้อมูล และสารสนเทศที่ดีจึงไม่อาจรับประกันได้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆที่เป็นประโยชน์เกิดขึ้น หากความจริงที่ได้จากข้อมูลและสารสนเทศนั้นไม่สอดคล้องกับความเชื่อที่มีมาแต่ดั่งเดิม

การเปลี่ยนแปลงในทางที่ส่งผลดีขึ้น หรือมีการพัฒนามากขึ้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อคนที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้น ยอมเปลี่ยนความคิดความเชื่อตามความจริงที่พบเห็นก่อน เห็นความจริง แต่ไม่เปลี่ยนความเชื่อ การเปลี่ยนแปลงที่เป็นการพัฒนาให้ดีขึ้นก็ไม่เกิด ความจริงบอกว่าทำงานหลายงานพร้อมกันทำให้เราเก่งน้อยลง แต่ทุกวันนี้คนเก่งก็แสดงตนเองว่าเก่งด้วยการทำงานหลายอย่างไปพร้อม ๆกัน คนที่บอกว่างานยุ่งกลายเป็นคนเก่งกว่าคนที่บอกว่าทำงานเสร็จไปแล้วสองสามงาน ถ้าเราไม่เชื่อความจริงเรื่องนี้ คนที่อยากให้ใครเห็นว่าเก่งก็ยังชอบทำงานหลาย ๆอย่าง อาสาไปทุกเรื่อง ตั้งแต่หน้าที่ยามเฝ้าบ้านไปจนกระทั่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งความจริงบอกว่าไม่มีวันที่จะทำได้ดีเด่นสักด้าน

ถ้าเข้าใจความจริงไม่กระจ่างชัด ก็ไม่มีวันรู้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่ ที่สำคัญคือไม่แน่เสมอไปว่าคนเราจะเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง รู้แบบงู ๆปลา ๆเกิดขึ้นมากกว่ารู้แบบแตกฉาน และบ่อยครั้งที่เราประเมินว่าเรารู้มากกว่าที่เรารู้จริง เมื่อรู้ความจริงแบบไม่กระจ่าง ก็เลยไม่เห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง พบเห็นน้ำท่วมบ่อยครั้ง แต่ไม่กระจ่างถึงความจริงที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนที่ระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้น ไม่กระจ่างเรื่องความเร็วช้าของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเปลี่ยนแปลงระบบบริหารน้ำกันใหม่ ใช้แบบเดิมๆกันต่อไป กับแค่บอกว่าต้องดูแลเพิ่มอีกหน่อย

ความจริงไม่เปลี่ยนแปลงความเชื่อ เพราะการเปลี่ยนแปลงความเชื่อทำให้ต้องทำความเข้าใจกับสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นกันใหม่ทั้งหมด ซึ่งต้องใช้ความพยายาม และความบากบั่นที่จะทำความเข้าใจใหม่ให้เกิดขึ้น ความจริงยังอาจทำให้ขั้นตอนที่เราเคยทำอยู่นั้นหมดความจำเป็น หมดความหมาย หรือลดทอนความสำคัญลงไป ในขณะที่เชื่อแบบเดิม ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ไม่ต้องคิด ไม่ต้องวิเคราะห์ สังเคราะห์อะไรกันใหม่ ชีวิตสบายกว่ากันเยอะ ซึ่งความสบายจากการไม่ต้องคิดใหม่ ไม่ต้องวิเคราะห์ใหม่ นี่แหละที่เป็นกำแพงกั้นไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใด จากความจริงที่พบเจอ ดังนั้นหากต้องการใช้ความจริงเปลี่ยนแปลงความเชื่อ ต้องบอกมากกว่าความจริง ต้องอธิบายให้กระจ่างว่า ความจริงที่พบเจอใหม่นั้นทำให้ต้องคิดใหม่ วิเคราะห์ใหม่ในประเด็นใดบ้าง และ บอกผลกระทบของความจริงนั้นให้ครอบคลุม อยากเปลี่ยนความคิดความเชื่อ ต้องสื่อสารให้เห็นให้ได้ว่าว่าความเชื่อใหม่นำไปสู่อะไรที่ดีขึ้นบ้างสำหรับคนนั้น

เราเชื่อกันว่าเมื่อรู้ความจริง คนจะเห็นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นตามมาเอง แต่จะประหลาดใจหรือไม่ว่าในวงการปัญญาชนนั้น รู้ความจริงกันมาหลายสิบปีแล้ว แต่World Economic Forumบอกว่าสิบปีไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิมเลยสำหรับวงการปัญญาชน