ประชุมสุดยอดทรัมป์-สี จิ้นผิง :

ประชุมสุดยอดทรัมป์-สี จิ้นผิง :

มีแต่ลีลาและสีสันแต่ไร้เนื้อไร้หนัง

ผลการประชุมสุดยอดระหว่างโดนัลด์ ทรัมป์กับสี จิ้นผิงใครได้ใครเสีย?

คำตอบสั้น ๆ คือไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ยกเว้นว่าทั้งสองคนบอกว่าพบกันครั้งแรกทำให้ “มีความคุ้นเคยซึ่งกันและกันดีขึ้น”

แต่สี จิ้นผิงไม่ตีกอล์ฟกับทรัมป์ที่ Mar-a-Lago (ภาษาสเปน แปลว่า “ทะเลสู่ทะเลสาบ) ซึ่งเป็นรีสอร์ทส่วนตัวของทรัมป์แม้ว่าผู้นำสหรัฐจะเกริ่นไว้แต่แรก ว่าจะออกรอบเพื่อตอกย้ำความเป็นกันเอง

ทรัมป์ประเมินผิดแต่แรก เพราะสี จิ้นผิงไม่อาจจะมีภาพหวดไม้กอล์ฟดับทรัมป์ได้ เนื่องจากตัวเองเคยออกคำสั่งห้ามเจ้าหน้าที่รัฐ ไปออกสนามกับพ่อค้านักธุรกิจหรือเล่นกันเองเพราะเป็นเกมเศรษฐี และการพบปะกันอย่างนั้นอาจนำไปสู่ความสนิทสนมเกินความพอดี ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ในรูปคอร์รัปชันได้

ผลการพบปะเพียง 24 ชั่วโมงครั้งนี้ตกลงได้เพียงว่าจะใช้เวลา 100 วันจากนี้ไปศึกษาหนทางที่สองประเทศจะค้าขายกันอย่างไร จึงให้ลดดุลการค้าที่สหรัฐเสียเปรียบจีนอยู่

จีนรับปากจะลงทุนในอเมริกามากขึ้นและสร้างงานอีก 700,000 ตำแหน่ง (เท่ากับที่นายกฯชินโซะ อาเบะรับปากกับทรัมป์ในการเจอกันที่รีสอร์ทแห่งนี้ก่อนหน้านี้)

สีจิ้นผิงบอกว่าผลจากการประชุมที่สำคัญที่สุดคือ การเสริมสร้างมิตรภาพของเราทั้งสองให้ลึกซึ้งมากขึ้น และสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจต่อกันและกัน

ฟังดูเหมือนจะเป็นภาษาการทูตมากกว่าที่จะเป็นผลการเจรจาที่เป็นรูปธรรม

ที่ชัดเจนจากทรัมป์คือภาษาดุดันที่เขาเคยใช้กล่าวหาจีน ระหว่างหาเสียงและตอนขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีใหม่ ๆ หายไปจากการแลกเปลี่ยนครั้งนี้... กลายเป็นภาษาดอกไม้ เพราะเขาบอกว่า ผมเชื่อว่าเรามีความคืบหน้าอย่างแท้จริง และความสัมพันธ์ระหว่างผมกับท่านสีจิ้นผิงมีความโดดเด่นเป็นพิเศษ

คุณศัพท์ที่ทรัมป์ใช้มักจะเป็นคำกว้าง ๆ ที่ไม่อาจจะตีค่ารูปธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็น “excellent” หรือ “great” หรือ ”amazing”

คราวนี้ทรัมป์ใช้คำว่า outstanding ซึ่งแปลตรงตัวว่า โดดเด่น แต่ความสัมพันธ์ของสองคนที่เรียกว่า “โดดเด่น” ได้นั้นไม่อาจจะตีค่าเป็นเรื่องเป็นราวได้

ที่เป็นสีสันเล็ก ๆ ก็คงจะเป็นตอนที่หลานสาวและหลานชายของทรัมป์ (ลูกของอีวานกา ทรัมป์) ร้องเพลงจีนและท่องกลอนโบราณให้สี จิ้นผิงและภรรยาฟัง มีเสียงปรบมือแสดงความชื่นชมกันเท่านั้น

ที่น่าสังเกตคือทั้งสองคนไม่อาจจะหาข้อตกลงเรื่องเกาหลีเหนือได้ นอกจากจะบอกว่าสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลีได้ก้าวถึง “จุดร้ายแรง”

ทรัมป์กับสี จิ้นผิงตกลงกันได้แต่เพียงว่าจะพยายามหาทางออกเรื่องเกาหลีเหนือร่วมกัน

และดูเหมือนว่าทั้งสองผู้นำจะยอม เห็นพ้องที่จะเห็นต่าง ในเรื่องนี้

เพราะรัฐมนตรีต่างประเทศเร็กซ์ ทิลเลอร์สันบอกนักข่าวว่า

เราพร้อมจะกำหนดแนวทางของเราเอง หากฝ่ายจีนไม่สามารถจะประสานงานกับเราได้ในเรื่องนี้

แปลความได้ว่าทั้งสองคนตกลงกันไม่ได้ว่าจะทำอะไรร่วมกัน และทรัมป์บอกผู้นำปักกิ่งว่าหากจีนไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ วอชิงตันก็อาจจะต้องทำอะไรของตนเอง

จะตีความว่าเป็นการขู่หรือร้องขอหรือกดดันก็ตาม เมื่อทรัมป์แจ้งสี จิ้นผิงระหว่างกินข้าวมื้อเย็นว่าเขาได้สั่งให้ทหารอเมริกันถล่มฐานทัพอากาศซีเรียแล้ว นั่นก็ย่อมเป็นการส่งสารให้กับจีนว่าถ้าทรัมป์ถล่มซีเรียได้ ก็ย่อมจะโจมตีเกาหลีเหนือได้โดยไม่ต้องปรึกษาจีนหรือสหประชาชาติแต่อย่างไร

นี่คือหลักฐานชัด ๆ ว่าการประชุมสุดยอดครั้งนี้ ไม่สามารถตกลงกันในเนื้อหาสองเรื่องใหญ่ได้เลย... นั่นคือเรื่องการค้าและเกาหลีเหนือ

ที่ตอกย้ำถึงความเห็นต่างกันในเรื่องเกาหลีเหนือคือหลังจากสี จิ้นผิง บินออกจากฟลอริดาได้ไม่กี่ชั่วโมง สำนักข่าวซินหัวของจีนก็ออกบทความวิพากษ์สหรัฐฯอย่างหนักหน่วงในกรณีซีเรีย

จังหวะการออกข่าวของกระบอกเสียงรัฐบาลจีนในเรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะวันแรกหลังทรัมป์แจ้งข่าวถล่มซีเรียให้สี จิ้นผิงนั้น สื่อจีนเงียบกริบ แต่วันรุ่งขึ้น เมื่อสีเสร็จสิ้นภารกิจที่สหรัฐ สื่อจีนก็โหมกระหน่ำทรัมป์อย่างหนักหน่วง

บทวิเคราะห์ของซินหัวบอกว่าที่ทรัมป์สั่งถล่มซีเรียนั้น เป็นเพราะต้องการจะขจัดข้อกล่าวหาว่าเขามีจุดยืนสนับสนุนรัสเซีย

“นี่เป็นพฤติกรรมของผู้นำที่อ่อนแอแต่ต้องการสร้างภาพว่าแข็งแกร่ง” ซินหัวฟันธงอย่างชัดถ้อยชัดคำ

รมต.ต่างประเทศสหรัฐ บอกนักข่าวว่าเมื่อทรัมป์แจ้งเรื่องโจมตีซีเรียให้สี จิ้นผิงทราบ ผู้นำจีน “ได้แสดงความเข้าใจ... เพราะมีสาเหตุมาจากการที่ประเทศนั้นใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน”

แต่หากพิเคราะห์จากเนื้อหาและน้ำเสียงของซินหัวในเรื่องนี้ สี จิ้นผิงคงจะฟังไปกัดฟันไป เพราะพยายามรักษามารยาทของแขกผู้มาเยือน

 ส่วนจุดยืนของปักกิ่งจริง ๆ นั้นคอยติดตามจากสื่อทางการก็แล้วกัน!