อุทาหรณ์สอนโลก... กรณีเนื้อสัตว์ด้อยคุณภาพจากบราซิล

อุทาหรณ์สอนโลก... กรณีเนื้อสัตว์ด้อยคุณภาพจากบราซิล

กลายเป็นเรื่องอื้อฉาวไปในชั่วข้ามคืน หลังจากตำรวจสหพันธรัฐบราซิล ดำเนินการสืบสวนสอบสวน

บริษัทเนื้อสัตว์รายใหญ่ที่สุดของบราซิล อาทิ JBS, Seara (บริษัทย่อยของ JBS) และ BRF จากข้อกล่าวหาว่า บริษัทเหล่านี้มีการติดสินบนเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบ กระทรวงเกษตรปศุสัตว์และฟาร์มปศุสัตว์ของบราซิล เพื่อให้ออกใบรับรองสุขภาพ ที่อนุญาตให้มีการขายเนื้อสัตว์ที่เน่าเสีย ผลิตภัณฑ์ที่หมดอายุ ไม่ผ่านมาตรฐานคุณภาพ และทำการปลอมปนเนื้อสัตว์อื่นในผลิตภัณฑ์ ทั้งในประเทศและส่งออกในตลาดต่างประเทศ

เรื่องนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั่วโลก ที่มีต่อระบบการตรวจสอบของบราซิล ประเทศที่มีพัฒนาการด้านการเกษตรก้าวหน้าเป็นอันดับต้นๆของโลก ที่สามารถพัฒนาตัวเองจากที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารจากประเทศอื่น สู่การเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของโลก จากความได้เปรียบเรื่องการเกษตรที่สูงมาก ทั้งการมีที่ดินที่มีศักยภาพสำหรับการเพาะปลูกมากเป็นอันดับ 1 รวมทั้งเป็นประเทศที่มีปริมาณฝนมากและตกในพื้นที่การเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สามารถเพาะปลูกพืชที่เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้ทุกชนิด ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่ำเพราะไม่ต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบเหมือนประเทศคู่แข่ง จึงสามารถแข่งขันด้านราคาในตลาดโลกได้อย่างไม่ต้องสงสัย บราซิลจึงผงาดสู่การเป็นผู้นำด้านการส่งออกปศุสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวและเนื้อไก่ที่มีการส่งออกเป็นอันดับ 1 ของโลก

ที่ผ่านมาหลายประเทศอ้าแขนรับผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จากบราซิล เพราะราคาที่ไม่แพงและมั่นใจในคุณภาพสินค้าที่มาจากประเทศนี้ แต่การสืบสวนจนนำไปสู่จับกุมพนักงานของบริษัท JBS และ BRF ในครั้งนี้ ทำให้ประเทศผู้นำเข้าเนื้อสัตว์หลายประเทศสั่งแบนเนื้อสัตว์จากบราซิลโดยเฉพาะคู่ค้ารายใหญ่อย่างสหภาพยุโรป (อียู) ที่ถือว่าให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในอาหารมากที่สุดที่ระงับการสั่งซื้ออย่างไม่มีกำหนด หลายประเทศทั่วโลกประกาศระงับการนำเข้าเนื้อแช่แข็งเพื่อดูการแก้ปัญหาของบราซิล เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น ชิลี สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา เม็กซิโก และแอฟริกาใต้ เป็นต้น หรือแม้แต่บางประเทศที่ก่อนนี้ได้สั่งระงับการนำเข้าแล้วกลับมาเปิดนำเข้าใหม่อีกครั้ง ก็เพิ่มการจับตาและมีมาตรการตรวจสอบมาตรฐานที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก อาทิ จีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกเนื้อแช่แข็งใหญ่ที่สุดของบราซิล รวมถึงฮ่องกง อียิปต์ และเกาหลีใต้ 

ส่วนซาอุดิอาระเบียในฐานะผู้ซื้อเนื้อไก่รายใหญ่อันดับสองของบราซิล ได้เปิดอนุญาตการนำเข้าจากผู้ประกอบการเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้น 4 แห่งที่มีปัญหา ขณะที่สหรัฐ มีคำสั่งให้ตรวจเชื้อก่อโรคในเนื้อวัวดิบและอาหารพร้อมบริโภคทุกตัวอย่างที่นำเข้าจากบราซิล นอกจากนี้ บริษัทใหญ่ๆในประเทศที่ยังให้มีการนำเข้าเนื้อสัตว์จากบราซิล ก็มีประกาศไม่ใช้สินค้าของประเทศนี้ เพื่อความน่าเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ของตนเอง ล่าสุดทางการบราซิลได้เร่งควบคุมปัญหาด้วยการสั่งปิดโรงงาน 6 แห่ง และสั่งระงับการส่งออกอีก 15 แห่ง เพื่อป้องกันการส่งออกเนื้อที่ไม่ได้มาตรฐานสู่ประเทศคู่ค้า

การจับกุมดังกล่าวส่งผลอันใหญ่หลวงต่ออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์บราซิล ทำให้ต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดถึงกว่าร้อยละ 10 ในตลาดโลก กระทบต่อมูลค่าการส่งออกจากที่เคยสูงกว่า 64 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน กลับลดลงเหลือเพียง 74,000 เหรียญสหรัฐต่อวัน และยังลดความน่าเชื่อถือและทำลายภาพพจน์ของบริษัทผู้ส่งออกเนื้อสัตว์ของบราซิล โดยเฉพาะ JBS ที่เป็นทั้งเบอร์หนึ่งด้านการแปรรูปเนื้อสัตว์ของบราซิลและเป็นบริษัทใหญ่ที่สุดในโลก ที่เติบโตมากว่า 64 ปีจนขึ้นแท่นผู้นำในระดับโลก ที่มีโรงงานอุตสาหกรรม 150 แห่งทั่วโลก หลังถูกกล่าวหาและมีเจ้าหน้าที่บุกตรวจสอบทั้งเรื่องการสินบนและสภาพโรงงานที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและโหมโฆษณาอย่างหนักเพื่อปกป้องชื่อเสียงของตนเอง แต่ก็ไม่อาจกอบกู้ชื่อเสียงและดึงความเชื่อมั่นกลับมาได้ และบริษัท BRF ก็เผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน

แม้ว่าวิกฤตินี้จะถูกมองว่าอาจเกี่ยวโยงกับเรื่องการเมืองในประเทศ แต่กลับมีมูลความจริงจนพบการกระทำความผิดและมีการจับกุมบริษัทผู้ผลิตเนื้อสัตว์อันดับ 1 ของโลกดังกล่าว วิกฤตที่เกิดจึงเป็นภาพสะท้อนถึงความผิดพลาดครั้งใหญ่ของผู้ผลิตสินค้าอาหารที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสามัญสำนึก ความซื่อสัตย์ และความจริงใจต่อลูกค้า งานนี้จึงกลายเป็นอุทาหรณ์สอนผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งโลกว่า แม้จะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ต้องดำเนินธุรกิจบนความถูกต้อง อย่าหวังแต่ผลกำไรแต่ลืมความปลอดภัยของผู้บริโภค จนต้องตกที่นั่งลำบากดังที่บราซิลกำลังประสบอยู่

...................................................

รัฐพล ศรีเจริญ : [email protected]