ลัทธิขุนศึก 2560

ลัทธิขุนศึก 2560

แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะบอกว่า “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ” มาจากเสียงเรียกร้อง

ของภาคประชาชน มันก็ถูกส่วนเดียว เนื่องโมเดลของเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย (คปพ.) ไม่ใช่แบบที่ “6 ทหารเสือ” ร่างออกมา

บรรษัทน้ำมันแห่งชาติมาจากรากเหง้า ลัทธิทหารยุค 2500 

เริ่มจาก พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ ประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เติบโตมาจากกรมการพลังงานทหาร และเคยนั่งเก้าอี้ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ” ดูแลการบ่อน้ำมัน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ก่อนจะขยับขึ้นรองเจ้ากรมการพลังงานทหาร

ด้วยความช่ำชองเชี่ยวขาญเรื่องน้ำมัน “บิ๊กกนธ์” จึงได้เป็นประธานคณะกรรมาธิการการพลังงาน

ว่ากันว่า เพื่อนลุงตู่" คนนี้เป็นแกนหลักในการผลักดันการตั้ง “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ” และขายไอเดียให้กับหม่อมอุ๋ย

รวมถึงล็อบบี้ “เพื่อนตู่” ให้คล้อยตาม ก่อนจะบรรจุในร่างกฎหมาย มาตรา 10/1 ใช้คำว่า “ให้จัดตั้งบรรษัทน้ำมันเมื่อมีความพร้อม”

“เพื่อนลุงตู่” มองว่า การจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการพลังงานในอนาคต ซึ่งมาจากประสบการณ์ตรงของ ครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ

จอมพล ป.พิบูลสงคราม และจอมพลสฤษดิ์ คิดอยู่เสมอว่า น้ำมันเป็นยุทธปัจจัยที่สำคัญของชาติ ควรอยู่ในการดูแลของรัฐ 

ไม่ใช่ปล่อยให้เอกชนหรือต่างชาติตักตวงผลประโยชน์ไปจึงมีการจัดตั้ง “กรมการพลังงานทหาร” ขึ้นมา

นอกจากนี้กรมการพลังงานทหาร ได้จัดตั้งศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ รวมทั้งกองสำรวจและผลิต ได้สำรวจพบแหล่งน้ำมันเพิ่มเติมที่ อ.ไชยปราการ ต่อมา ขยายการสำรวจแหล่งน้ำมันไปที่ จ.ลำปาง จ.แพร่ จ.เชียงราย และจ.พะเยา

เรื่องของ “กรมการพลังงานทหาร” แตกต่างจาก “องค์การเชื้อเพลิง” ที่ขายน้ำมันแบรนด์ “สามทหาร” ซึ่ง “หม่อมอุ๋ย” ก็ดำน้ำพูด เพื่อจุดระเบิดเรื่องบรรษัทน้ำมันฯ 

“6 ทหารเสือเพื่อนลุงตู่ ที่ รักชาติยิ่งชีพมองว่า น้ำมันควรเป็นของรัฐ ไม่ใช่ของมหาชนในตลาดหุ้น จึงปัดฝุ่นความคิดยุค จอมพล ส. ขึ้นมาขายอีกรอบ