แนวคิด 'หลังทุนนิยม' และเศรษฐกิจสมานฉันท์
การครอบงำของกระบวนทัศน์ ว่าตลาดเป็นกลไกที่ดีที่สุดในการตัดสินใจ ปัญหาเศรษฐกิจพื้นฐาน จะผลิตอะไร อย่างไร และเพื่อใคร
ทำให้ปริมณฑลของชีวิต ที่ไม่เคยถูกนิยามว่าเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ถูกกลืนกินเข้าไปอยู่ในอาณานิคมของระบบตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ
เรามาไกลถึงจุดที่ระบบตลาด ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ กลับถูกใช้เป็นกลไกหลัก ในการแก้ไข เช่น ปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ เราสามารถทำสัญญาเช่าร่างกายของผู้หญิง ราวกลับว่าเป็น “โรงงาน” ผลิตทารก ในอุตสาหกรรมตั้งท้องแทน (surrogate mother) เพื่อสนองความต้องการของคนในประเทศพัฒนาแล้ว
เจ เค กิ๊บสัน-แกรม (J.K.Gibson-Graham) นามปากกาของนักภูมิศาสตร์สังคมสายเฟมินิสต์สองคน คือ จูลี แกรม (Julie Graham) และแคทเธอรีน กิ๊บสัน (Katherine Gibson) กล่าวว่า กระบวนทัศน์ว่าด้วยเศรษฐกิจแบบดังกล่าว ทำให้เราไม่สามารถจินตนาการถึงการเมืองของเศรษฐกิจ (economic politics) แบบทางเลือก หรือ “การเมืองหลังทุนนิยม (post-capitalist politics)” เพราะระบบทุนถูกสร้างให้น่าเกรงขาม ทรงพลัง ปรากฎอยู่ทุกที่ทุกเวลา และไม่หลงเหลือพื้นที่ สำหรับความแตกต่างหลากหลายและคุณค่าแบบอื่น
คำประกาศของทั้งสองคนว่า “ถึงจุดสิ้นสุดของทุนนิยมแล้ว” ที่เป็นเสมือนคำเชิญชวน ให้พวกเรากลับมาทบทวนกระบวนทัศน์กระแสหลัก จึงได้รับการตอบรับอย่างดี จากนักวิชาการสายทางเลือกและแอ็คติวิสต์ เพราะสอดรับอย่างดีกับสโลแกน “โลกอีกใบที่แตกต่างนั้นเป็นไปได้ (another world is possible)” ของขบวนการเคลื่อนไหวฯ ต่อต้านระบบทุนนิยมทั่วโลก
ข้อเสนอดังกล่าวนำไปสู่ความตื่นตัวในงานวิจัยภาคปฏิบัติการ (action research) ศึกษาวิธีจัดการการผลิต การกระจาย และแลกเปลี่ยนสินค้าขององค์กรขนาดเล็ก ที่ต่างจากระบบตลาด ภายใต้หลักการเรื่อง “เศรษฐกิจสมานฉันท์ (solidarity economy)”
อันที่จริง แนวคิดและภาคปฏิบัติการของเศรษฐกิจสมานฉันท์ มีที่มาจากประสบการณ์ และแรงบันดาลใจอย่างน้อยสองกระแส กล่าวคือ ต้นทางหนึ่งมาจากประสบการณ์ขององค์กร ในระดับรากหญ้าในลาตินอเมริกา ภายหลังจากการบังคับใช้ชุดนโยบายปรับโครงสร้าง (structural adjustment programs) ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และการบังคับใช้ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) ในทศวรรษ 80s และ 90s ตามลำดับ
อีกสายธารหนึ่งของความคิดและการทดลองทางสังคมเกิดขึ้นในชุมชนวิชาการและนักพัฒนา ในโลกภาษาฝรั่งเศส คือ ฝรั่งเศสและแคนาดา ที่มีศูนย์กลางที่เมืองคิวเบค ทั้งนี้ ชัยชนะของรัฐบาลฝ่ายก้าวหน้า ในปี 1993 ทำให้องค์กรไม่แสวงหากำไรและวิสาหกิจในระดับชุมชน เพิ่มบทบาทขึ้นอย่างมากในการเข้าร่วมจัดการเศรษฐกิจของเมือง อย่างมอนทริออล ตัวอย่างเช่น การจัดการศูนย์เลี้ยงเด็กของคิวเบค โดยการรวมตัวของคนงานหญิงในรูปแบบของสหกรณ์
อย่างไรก็ตาม ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าคำว่า “เศรษฐกิจสมานฉันท์” ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อใด เพราะยังไม่มีการศึกษาในเชิงวิชาการอย่างจริงจัง ทั้งนี้ พบว่ามีการอ้างอิง ถึงงานวิชาการอย่างน้อยสามแหล่ง กล่าวคือ หนึ่ง งานของเฟลิปเป้ อลาอิซ (Felipe Alaiz) นักเขียนสายอนาธิปัตย์เชื้อสายไอบีเรียน สอง ทฤษฎีของนักสังคมวิทยาหลุยส์ ราเซโต้ (Louis Razeto) ชาวชิลี และสาม งานศึกษาภายใต้หัวข้อ “social-solidarity economy” ของฌอง-หลุยส์ ลาวิล (Jean-Louis Laville) ชาวฝรั่งเศส
ปัจจุบัน เครือข่ายเศรษฐกิจสมานฉันท์เกิดขึ้นในทุกทวีป รวมทั้งเอเชีย ในสหรัฐฯ นักกิจกรรมรุ่นใหม่ใช้ “เศรษฐกิจสมานฉันท์” เพื่อจัดตั้งชุมชนผู้มีรายได้ต่ำที่รู้สึกว่าตนเองถูกกีดกันออกจากความมั่งคั่งที่ระบบทุนนิยมสร้างขึ้น อันที่จริง กลุ่มผู้มีรายได้ต่ำจำนวนมากในสหรัฐฯ โดยเฉพาะคนจนเมืองผิวขาวและคนงานผิวสี รวมกลุ่มขึ้นโดยเฉพาะในรูปของสหกรณ์ที่คนงานร่วมกันเป็นเจ้าของ (workers-owned coops)
กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจสมานฉันท์ ไม่ใช่แบบจำลองทางเศรษฐกิจใหม่ แต่เป็นกรอบแนวคิดใหม่ เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการจัดการเรื่องการผลิต กระจายและแลกเปลี่ยนที่อยู่บนหลักการเรื่องความร่วมมือ การช่วยเหลือระหว่างสมาชิก ความยุติธรรมทางสังคมและการตัดสินใจด้วยประชาธิปไตยทางตรง จะว่าไปแล้ว การถามหาแบบจำลองฯ นั้นเท่ากับว่าเรายังคงติดอยู่ในกระบวนทัศน์เก่า ที่เชื่อว่ามีคำตอบสำเร็จรูปในการแก้ไขปัญหาขั้นพื้นฐานที่ใช้ได้กับทุกวัฒนธรรม
ทั้งนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจว่าเศรษฐกิจสมานฉันท์แตกต่างจากแนวคิดผู้ประกอบการสังคม (social enterprise) ที่ยังอยู่ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจกระแสหลัก เพราะเน้นหลักการแข่งขัน และกำไรสูงสุดเป็นตัวตั้ง เพียงแต่ดึงเอาสิ่งที่เรียกว่า “สังคม” เข้าเป็นทางเลือกที่สาม
เศรษฐกิจสมานฉันท์คือ กรอบความคิดและภาษาใหม่ที่จะช่วยให้เรานิยาม “เศรษฐกิจ” ที่ดำรงอยู่ร่วมกับระบบตลาดมานาน แต่ไม่เคยถูกมองเห็น เป็นการเปลี่ยนวิธีคิด เพื่อเปลี่ยนแปลงโลกที่เรารู้จัก อย่างที่แคทเธอรีน กิ๊บสันเคยหยิบยกสโลแกนของเฟมินิสต์ขึ้นมาอธิบายว่าเราสามารถ “เปลี่ยนความเข้าใจเกี่ยวกับโลก เพื่อที่จะเปลี่ยนโลก”
........................................
เกรียงศักดิ์ ธีระโกวิทขจร
สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม