แนะนำกองทุนรับดอกเบี้ยขาขึ้น

แนะนำกองทุนรับดอกเบี้ยขาขึ้น

แนะนำกองทุนรับดอกเบี้ยขาขึ้น

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่าน ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างผันผวน ในขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวในกรอบแคบ ๆเช่นเดียวกับทิศทางของทองคำ ทั้งนี้ตลาดกำลังรอดูความชัดเจนของการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ซึ่งจริงๆแล้วต้องเรียกว่าคาดการณ์มากกว่าเพราะการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเพียงแต่เฟดจะส่งสัญญาณอย่างไรนั่นคือสิ่งที่นักลงทุนจะนำมาประกอบการพิจารณา

ช่วงที่ตลาดผันผวนนี้ ผมจึงอยากแนะนำกองทุนบางกลุ่มที่คิดว่าอาจเป็นที่สนใจของท่านผู้อ่านเพื่อเป็นแนวทางในการขยายกรอบการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง โดยในวันนี้ผมอยากพูดถึงกองทุน 3 ประเภทด้วยกัน ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นในประเทศ 1 กองทุนและหุ้นต่างประเทศ 2 กองทุน กองทุนประเภทแรกที่อยากพูดถึงคือกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางหรือขนาดเล็ก โดยข้อเท็จจริงแล้วหุ้นกลุ่มนี้จะมีราคาขึ้นลงที่ผันผวนกว่าหุ้นขนาดใหญ่หรือมีความเสี่ยงมากกว่า แต่ขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มที่มีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นแรงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กนี้มักจะมีอัตราการเติบโตของผลกำไรมากกว่า หรือบางตัวก็ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูง โดยหลายปีที่ผ่านมากลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็กนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ค่อนข้างมาก

โดยผลตอบแทนย้อนหลังของดัชนี SET50 1 ปี 3 ปี และ 5 ปี ย้อนหลังอยู่ที่ 25.48, 6.77 และ 9.26% ตามลำดับ ในขณะที่ผลตอบแทนจากดัชนี FTSE SET MID/SMALL ในช่วงเดียวกันอยู่ที่ 34.57, 17.68 และ 23.96% ตามลำดับ แต่ก็ต้องระมัดระวังนะครับเพราะบางช่วงอาจมีการเทขายเพื่อทำกำไรออกมาซึ่งจะส่งผลให้ราคาของหุ้นกลุ่มนี้มีการปรับตัวลดลงมาก ๆ ได้ แต่ในปัจจุบันราคาของหุ้นหลายตัวเริ่มปรับตัวลดลงทั้งจากข่าวสารที่มีผลกระทบต่อหุ้นรายตัวหรือส่งผลต่อเนื่องถึงหุ้นประเภทเดียวกัน ทำให้ช่วงนี้เป็นช่วงที่น่าสนใจในการลงทุนมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งหากท่านผู้อ่านสนใจก็สามารถเลือกดูได้จากกองทุนที่มีคำว่า MID SMALL ห้อยท้ายซึ่งในปัจจุบันก็มีให้เลือกจากหลาย บลจ. ด้วยกัน เช่น ของ บลจ กรุงศรี หรือ บลจ. กสิกรไทย เป็นต้น

กองทุนประเภทถัดมาเป็นกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศหรือ FIF โดยกองที่จะเลือกมานั้นนโยบายการลงทุนจะเน้นไปยังหุ้นกลุ่มธุรกิจการเงินเป็นหลัก ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลกโดยรวมทำให้มีราคาพื้นฐานที่ยังต่ำกว่าหุ้นประเภทอื่นที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยสนับสนุนอีกประการ คือ ทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะของประเทศอเมริกามีทิศทางการเติบโตที่เด่นชัดขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมาซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจการเงิน และปัจจัยสนับสนุนประการที่สาม คือ หุ้นกลุ่มนี้มักจะมีการปรับตัวไปในทิศทางของอัตราดอกเบี้ย ซึ่งหากเฟดทำการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นสามครั้งในปีนี้ก็น่าจะส่งผลดีต่อกลุ่มการเงินเช่นกัน ซึ่งกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มการเงินต่างประเทศนั้นไม่มีให้เลือกมากนักที่มีอยู่ คือ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ฟันด์ (KT-FINANCE) ซึ่งลงทุนในกองทุนหลักคือกองทุน Fidelity Funds –Global Financial Services Fund

หากจะดูผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปี 3 ปี และ 5 ปีของกองทุนนี้ จะอยู่ที่ 23.56, 8.73 และ 12.47 ตามลำดับ

กองทุนประเภทสุดท้ายที่อยากพูดถึงในวันนี้ คือ กองทุนประเภท Healthcare ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้เคยเป็นดาวรุ่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก่อนจะมาเสื่อมความนิยมลงในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่ว่าหลังจากที่ทรัมป์เข้ามารับตำแหน่งหุ้นกลุ่มนี้ก็กลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยมีเหตุผลสนับสนุน 4 ข้อด้วยกัน เช่น 1. แรงกดดันจากการเมืองเริ่มลดลงส่งผลให้ราคาหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์เริ่มทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังผู้นำบริษัทยารายใหญ่ ๆ เข้าพบประธานาธิบดีทรัมป์เมื่อ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา 2. การใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุข เพิ่มขึ้นเรื่อยมาและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นในช่วงต่อไป 3. หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ เป็นกลุ่มที่มีหุ้นเติบโตสูงเป็นสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มธุรกิจอื่น ๆ และ 4. Valuation ต่ำกว่าดัชนีมาตรฐานจากการที่ราคาหุ้นในกลุ่มนี้ที่ปรับตัวลดลง 2 ปีที่ผ่านมา

โดยในกลุ่มนี้ยังประกอบด้วยหมวดธุรกิจย่อย ๆ เช่น กลุ่มยา กลุ่มโรงพยาบาล แต่กลุ่มที่ค่อนข้างโดดเด่น คือ กลุ่ม Biotech ที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ ทั้งจากการที่ยังมีการพบเจอโรคระบาดชนิดใหม่ หรือมีการค้นพบนวัตกรรมทางการแพทย์ใหม่ที่ส่งผลกระทบต่ออัตราการรอดชีวิตของผู้ป่วย ซึ่งหากท่านผู้อ่านสนใจที่จะลงทุนในกลุ่ม Healthcare นี้ในปัจจุบันมีกองทุนจากหลาย บลจ. ด้วยกัน เช่น กองทุนรวมกรุงศรีโกลบอลเอลท์แคร์ อิควิตี้ปันผล กองทุนรวมธนชาตโกลบอลเฮลท์แคร์ หรือกองทุนรวมไทยพาณิชย์หุ้นโกลบอลเฮลท์แคร์ เป็นต้น

ครับท้ายสุดนี้ผมก็ขออวยพรให้ท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่านโชคดีกับการลงทุนและมีสุขภาพที่ดีนะครับ