จีนกลัวรถไฟมะกันกับโสมแดง ชนกันโครม!
ความสัมพันธ์สามเส้าระหว่างจีน สหรัฐและเกาหลีเหนือ เป็นเงื่อนปมของการเมืองระหว่างประเทศ
ที่ต้องเฝ้ามองอย่างไม่กะพริบตาจริง ๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะนำไปสู่อะไรในสมการระหว่างประเทศ
ปักกิ่งออกมาเล่นบท “ห้ามทัพ” ระหว่างวอชิงตันกับเปียงยางอย่างน่าสนใจยิ่ง
เพราะแต่ก่อนจีนจะกระโดดเข้าข้างเกาหลีเหนือในทุกประเด็น
วันนี้ จีนกับเกาหลีเหนือมีเรื่องบาดหมางกันอย่างเปิดเผย และเกมระหว่างสองมหาอำนาจ คือสหรัฐกับจีนก็เข้าสู่ภาวะที่คาดการณ์ไม่ออกเช่นกัน
รัฐมนตรีต่างประเทศจีนหวางอี้ ออกมาประกาศให้ทั้งอเมริกาและเกาหลีเหนือถอยกันคนละก้าว เพราะหาไม่แล้วการเผชิญหน้ารอบนี้ อาจจะนำไปสู่ความวุ่นวายระหว่างประเทศได้อย่างน่ากลัว
ด้านหนึ่งคือประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ยังใหม่ในเวทีระหว่างประเทศ อีกทั้งยังมีท่าทีแข็งกร้าว ต้องการจะแสดงให้เปียงยางเห็นว่าเขาไม่กลัวคำขู่ของเกาหลีเหนือและพร้อมจะ “สั่งสอน”ประเทศนี้
อีกด้านหนึ่งคือคิมจองอึน ผู้นำโสมแดงที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้ภาษาและลีลาที่ไม่ยอมให้มะกันมาหยามเกียรติได้เช่นกัน
คนหนึ่งคือนักเลงใหญ่ปากซอย อีกคนคือหัวหน้าก๊วนจากอีกซอยหนึ่ง
วันนี้จีนเล่นบทเป็น “ผู้ใหญ่ใจเย็น” ที่พยายามจะให้ทั้งสองข้างลดความกร้าวลง หันมาเจรจาบนโต๊ะ
หวางอี้บอกว่าขณะนี้อเมริกากับเกาหลีเหนือ เหมือนรถไฟสองขบวนที่วิ่งด้วยความเร็วสูงยิ่ง และพร้อมจะชนกันโครมใหญ่
จีนขอให้เกาหลีเหนือยุติการทดลองอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ และให้สหรัฐระงับการซ้อมรบทางทะเลกับเกาหลีใต้
การกระทำของฝ่ายหนึ่งถูกตีความจากอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นการยั่วยุและคุกคามอีกฝ่ายหนึ่ง
ดังนั้น ก่อนที่สถานการณ์จะลุกลามกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ขอให้ทั้งสองฝ่ายหยุดกระทำการที่จะทำให้บรรยายกาศเสื่อมทรุดลง
ทันใดนั้นเอง สหรัฐก็ออกมาบอกว่าจะยังไม่ยอมเจรจา ตราบที่ผู้นำเกาหลีเหนือคนนี้ยังแสดงตนเป็นผู้ที่ไว้วางใจไม่ได้
เกาหลีเหนือก็ไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน ความเกรงใจที่เคยมีต่อจีนก็หดหายไปมากเพราะหวังพึ่งพา “สหายเก่า” ไม่ได้อีกต่อไป
ก่อนหน้านี้เกาหลีเหนือออกมาต่อว่าต่อขานจีนว่า “เต้นตามเพลงของอเมริกัน” ซึ่งถือว่าเป็นการออกมาปะฉะดะปักกิ่งอย่างแรงอย่างชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เพราะก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์ ปักกิ่งประกาศระงับการสั่งถ่านหินเข้าจากเกาหลีเหนือทั้งหมดจนถึงสิ้นปี ซึ่งเป็นการตัดแขนตัดขาของเพื่อนเก่าประเทศนี้อย่างชัดเจน เหตุเพราะเปียงยางอาศัยรายได้จากการส่งถ่านหินให้จีนเป็นเครื่องค้ำจุนเศรษฐกิจมานานนมแล้ว
จีนต้องการจะ “สั่งสอน” เกาหลีเหนือแบบเบา ๆ แต่คิมจองอึนถือว่านี่เป็นการตบหน้ากันอย่างรุนแรง คล้าย ๆ กับจะบอกว่ามีเพื่อนอย่างนี้ไม่ต้องมีศัตรูก็ได้
จุดยืนของจีนเรื่องนี้ชัดเจนว่าต้องการจะเล่นบทนักไกล่เกลี่ย แต่ขณะเดียวกันก็อาจถูกตีความได้ว่าบารมีของจีนต่อเกาหลีเหนือไม่มีเหลืออยู่เท่าไหร่แล้ว
สหรัฐคงไม่เชื่อจีนเสียทั้งหมด เพราะทรัมป์เองก็คงยังเชื่อว่าปักกิ่งเล่นเกมสองหน้าหรือเปล่า ด้านหนึ่งยังพูดคุยกับคิมจองอึนอยู่หลังฉากขณะที่หน้าฉากก็ทำตนเป็น “ผู้หวังดีกับทั้งสองฝ่าย”
บทนี้ของจีนจะทำให้ได้คะแนนในฐานะเป็น “ท้าวมาลีวราช” ที่ไม่ต้องการให้ทั้งสองประเทศฟาดฟันกันจนจีนเองต้องวุ่นวายไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าพอทรัมป์เข้านั่งทำเนียบขาว การเมืองโลกก็พลันพลิกผันไปคนละเรื่องกับแต่ก่อนอย่างน่าประหลาดใจ
จากนี้ไป โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปและไม่มีกูรูคนไหนกล้าฟันธงว่าใครจะชนะใน “สงครามเย็นรอบใหม่” เลยแม้แต่คนเดียว!