ปรับพอร์ตในช่วงตลาดอึดอัด

ปรับพอร์ตในช่วงตลาดอึดอัด

ปรับพอร์ตในช่วงตลาดอึดอัด

ตลาดหุ้นไทยหลังจากที่เริ่มทยอยประกาศผลการดำเนินงานในปี 2559 จนครบ ส่วนมากถือว่าไม่ดีไม่แย่ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์จึงขาดปัจจัยที่จะส่งผลให้ตลาดเคลื่อนไหวออกนอกกรอบอย่างมีนัยยะสำคัญและทำให้ตลาดอยู่ในภาวะที่เรียกได้ว่าอึดอัด จึงอยากให้นักลงทุนลองมองดูปัจจัยสำคัญที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมี.ค.นี้ ที่จะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีโอกาสเคลื่อนไหวในทางใดทางหนึ่ง โดยมี 2 ปัจจัยหลักได้แก่

1.การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.นี้ และจะส่งผลให้เงินทุนเคลื่อนย้าย (Fund Flow) ออกจากตลาดเกิดใหม่และรวมทั้งหุ้นไทยแต่ก็มองว่าผลกระทบไม่มากเพราะการที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ยนั้นแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจขิองสหรัฐฯดีขึ้น โดยรวม บล.KTBST จึงมองว่าไม่ส่งผลบวกและลบต่อตลาดหุ้นไทย

2. นโยบายการลดภาษีส่วนบุคคลและนิติบุคคล เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายที่ใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งของทรัมป์ ภายหลังการเข้ารับตำแหน่งทรัมป์ได้พยายามนำเสนอการแก้ไขกฎหมายภาษีโดยลดทั้งภาษีนิติบุคคล ภาษีบุคคธรรมดาและภาษีที่เรียกเก็บจากตลาดทุน มีการวางแผนลดภาษีส่วนบุคคลแบบขั้นบันได้จาก 10% - 39.6% เป็น 10%, 20%, และ 25% นอกจากภาษีส่วนบุคคลแล้ว ทรัมป์ยังมีมาตรการลดภาษีนิติบุคคล (Corporate Tax) ให้เหลือ 15% จากระดับเดิมที่ 35% เป็นเหตุผลที่ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทำ New High ในช่วงที่ผ่านมา

ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ การแก้ไขภาษีของสหรัฐฯ จำเป็นต้องอาศัยการลงคะแนนผ่านวุฒิสภา (Senate) หรือ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives) และได้รับการลงนามโดยประธานาธิบดี คาดว่าจะสามารถดำเนินการเข้าสู่การพิจารณาได้ภายในระยะเวลา 3 เดือนข้างหน้า

KTBST ประเมินผลกระทบที่จะมีต่อหุ้นไทยว่า บริษัทที่มีโรงงานผลิตที่สหรัฐฯได้รับผลบวกโดยตรงจากการลดภาษี บริษัทเหล่านี้จะได้ประโยชน์ทั้งจากค่าใช้จ่ายที่ลดลง และการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทำให้กำลังซื้อของคนสหรัฐฯสูงขึ้นจะเป็นบวกทั้งธุรกิจที่อยู่ในสหรัฐฯและผู้ส่งสินค้าไปยังสหรัฐฯ จากการรวบโดย KTBST Research บริษัทที่มีโรงงาน , หรือมีบริษัทตั้งอยู่ในสหรัฐฯ อาทิ HANA , IVL , TU

สหรัฐฯกำลังลดภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศและก็กำลังขึ้นดอกเบี้ยไปด้วย สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อการลงทุนจะเป็นอย่างไร และควรจะปรับการลงทุนอย่างไรบ้าง .... ??

ผมอยากแนะนำนักลงทุนในช่วงที่หุ้นไทยเคลื่อนไหวอย่างอึดอัดนี้ว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยนั้นมีทิศทางการเคลื่อนไหวแบบ Side Way หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยจนทำให้ดัชนีลงมาทดสอบที่ระดับ 1,530 จุดแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อและหากดัชนีมีการปรับขึ้นไปที่ระดับ 1,580 จุดแนะนำให้ขายทำกำไรออกมาบ้าง อย่างไรก็ตามหากนโยบายเรื่องการลดภาษีของทรัปม์มีความชัดเจนขึ้นอาจเห็นดัชนีหุ้นไทยขึ้นไปที่ระดับ 1,600 จุดได้”

KTBST มองว่าโดยรวมแล้วผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยถือว่ายังน่าสนใจในปีนี้ ต่างชาติเองก็ยังชอบตลาดหุ้นไทย ระดับราคาหุ้นที่ไม่ถูกไม่แพง แต่อาจต้องเลือกหุ้นลงทุนเป็นรายตัว มีการปรับกลยุทธ์กระจายไปที่สินทรัพย์ เช่น REIT ที่ให้ผลตอบแทนในระดับ 5.5-6% ก็ยังถือว่าน่าสนใจในช่วงที่ดอกเบี้ยไทยยังไม่ขึ้นตามสหรัฐฯ รวมไปถึงหุ้นที่จ่ายปันผลดีด้วยและการถือเงินสดเพื่อรอจังหวะเข้าลงทุนด้วยเช่นกัน

เป็นไปตามที่ KTBST Wealth Management ประเมินไว้ในเรื่องความผันผวน การลงทุนจึงต้องใช้กลยุทธ์กันพอสมควร อาจจะขายทำกำไรออกมาบ้างหากหุ้นขึ้นไปมาก กระจายการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ รวมไปถึงเลือกใช้การลงทุนด้วยการให้ระบบโปรแกรมหุ่นยนต์ลงทุนแทน ซึ่งทาง KTBST มีผลิตภัณฑ์การลงทุนอย่าง Smart Algo ที่มีกลยุทธ์ลงทุนในหุ้นไทยให้เลือกถึง 5 กลยุทธ์ เป็นทางเลือกหนึ่งที่สะดวกและน่าสนใจในสถานการณ์ที่ตลาดผันผวน

ติดต่อสอบถามขอคำปรึกษาการลงทุนใน KTBT Smart Algo ได้ที่ 02-648 1747 / 02-648 1458