เรียนโหรไปเล่นหุ้น (1)

เรียนโหรไปเล่นหุ้น (1)

ไม่ว่าใครจะมองโหราศาสตร์อย่างไร แต่ศาสตร์ที่อยู่รอดและพัฒนาต่อเนื่องกว่า 7,000 ปี จากทุกอารยธรรมโบราณของโลก

 ก็ไม่ได้สูญเสียศักดิ์ฐานะอันมั่นคงแต่อย่างใด ยังมีคน “ตาถึง” และเชื่อมั่นในโหราศาสตร์อีกมาก ที่น่าสนใจคือ คนเหล่านั้นมักเป็น “ชนชั้นนำ” ของทุกสังคม

ชนชั้นล่างจะเชื่อทุกศาสตร์ที่ทำให้พวกเขาเอาตัวรอดได้ ไม่เว้นแม้ไสยศาสตร์ สังคมจึงมองว่างมงาย ชนชั้นกลางที่ถูกปลูกฝังให้เป็นมนุษย์เงินเดือนหรือวิชาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ วิศวะ กลุ่มนี้เชื่อมั่นความรู้ของตัวเอง จึงมองโหราศาสตร์เป็นสิ่งแปลกปลอมหรือความเหลวไหลที่พิสูจน์ไม่ได้ ต่างจากชนชั้นสูงที่ก้าวข้ามปัญหาปัจจัย 4 และสถานะทางสังคมไปแล้ว โหราศาสตร์เป็นองค์ความรู้ที่ช่วยดำรงสถานะและต่อยอดความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขา

การวางฤกษ์ดวงเมืองคือตัวอย่างที่ดีที่สุด กษัตริย์กรุงศรีอยุธยาใช้โหราศาสตร์วางรากฐานบ้านเมือง ลัคน์อยู่พฤษภ จันทร์อุจจ์กุมลัคน์ กรุงศรีอยุธยาจึงรุ่งเรืองยาวนานกว่า 400 ปี นครแบกแดดของราชวงศ์อับบาสิยะฮ์ที่เป็นยุคทองของอิสลามก็เช่นเดียวกัน ลัคน์ธนู พฤหัสเกษตร์กุมลัคน์ อาณาจักรรุ่งเรืองเกือบ 500 ปี ดวงเมืองกรุงเทพก็วางฤกษ์เช่นกัน ลัคนาเมษ อาทิตย์อุจจ์กุมลัคน์ ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองกว่า 230 ปีแล้ว

ด้านเศรษฐกิจก็มีตัวอย่างชัดเจน เจพี มอร์แกน ซีเนียร์ (J.P. Morgan Sr.) นายธนาคารใหญ่กล่าวไว้ว่า “Millionaire don’t use astrologer, Billionaire do.” เศรษฐีไม่ต้องใช้โหราจารย์ มหาเศรษฐีต้องใช้ นี่คือสัจธรรม พอมีอันจะกินอยู่ที่ทำงานหนัก เศรษฐีอยู่ที่ฝีมือ มหาเศรษฐีอยู่ที่ดวง

โหราศาสตร์ไม่ได้เหลวไหลงมงาย โหราศาสตร์ไม่ต่างจากวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ค้นพบความลับของธรรมชาติ เช่น ไฟฟ้า ยาปฏิชีวนะ ฯลฯ โหราศาสตร์ก็ค้นพบความลับของธรรมชาติเช่นกัน ไม่ใช่แค่วงโคจรของดาวเคราะห์ต่าง ๆ อันเป็นรากฐานของดาราศาสตร์ในยุคหลัง แต่ยังรวมถึงอิทธิพลดวงดาวที่มีต่อมนุษย์และเรื่องราวบนโลก

คนสมัยก่อนเรียนโหราศาสตร์เพื่อล่วงรู้อนาคต แต่เพราะโครงสร้างสังคมที่ไม่ยืดหยุ่นและปิดกั้น รู้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้มาก ต่างจากปัจจุบันที่โลกเปิดกว้างทุกด้าน โหราศาสตร์ช่วยให้รู้จัก “แผนที่ชีวิต” ของตนและสามารถวางแผนชีวิตตัวเองได้ ในยุคทุนนิยมที่มนุษย์วัดกันที่เงิน จึงมีคนหัวใสประยุกต์ใช้โหราศาสตร์เพื่อแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยกัน ตลาดหุ้นคือสุดยอดสนามแข่งขันของทุนนิยม ปรากฏการณ์ “เรียนโหรไปเล่นหุ้น” จึงเกิดขึ้น

ทำไมต้องเป็นโหราศาสตร์ เหตุผลมี 3 ข้อคือ (1) เพราะดอกเบี้ยต่ำหลายปี คนจำนวนมากจึงเข้าไปแสวงหาผลตอบแทนที่ดีขึ้นจากตลาดหุ้น การแข่งขันย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย (2) ข้อมูลข่าวสารและความรู้ด้านการลงทุนแพร่หลายไปทั่ว เทคนิคและสูตรสำเร็จต่าง ๆ ถูกเปิดเผย ผู้คนรู้ทันกันหมด ยากที่ใครจะได้เปรียบคนหมู่มากอีกต่อไป (3) ถ้าจะแสวงหาผลตอบแทนที่สูง ก็ต้องใช้เคล็ดลับหรือหลักวิชาที่คนคาดไม่ถึง โหราศาสตร์เป็นศาสตร์โบราณที่เก็บสถิติมากมาย ทั้งสามารถทำนายช่วงเวลารุ่งเรืองเสื่อมโทรมของบ้านเมือง ศาสตร์นี้จึงประยุกต์ใช้ในการลงทุนได้

ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายครั้งแรก 30 เมษายน 2518 แต่โหราศาสตร์ไม่ได้ถูกใช้ตั้งแต่ต้น ช่วงเปิดตลาดจนปี 2530 ตลาดหุ้นยังเป็นที่รู้จักในวงแคบ ช่วงฟองสบู่ ตลาดหุ้นพุ่งสูงมาก ทุกคนคิดแต่เก็งกำไร ปี 2540 – 2546 ตลาดค่อย ๆ ฟื้นตัวหลังฟองสบู่แตก พอถึงปี 2551 ก็เจอวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์อีก โหราศาสตร์เริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนบางกลุ่มตั้งแต่ปี 2554 และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดัชนีสำคัญคือจำนวนคนรุ่นใหม่ที่จบสายวิทยาศาสตร์ เช่น วิศวะ เอ็มบีเอ หันมาเรียนโหราศาสตร์กันมากขึ้น

การทำนายดินฟ้าอากาศ พืชผลธัญญาหาร และสภาพความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นส่วนหนึ่งของโหราศาสตร์ชะตาบ้านเมือง (Mundane Astrology) ที่มีมาตั้งแต่ยุคนีโอบาบิโลเนียน นั่นคือที่มาของโหราศาสตร์เศรษฐกิจที่เน้นปัจจัยภายนอก แต่สำหรับเรื่องการลงทุน ปัจจัยภายในซึ่งก็คือดวงชะตาบุคคลกลับสำคัญยิ่งกว่า เรียนโหรไม่ใช่เพื่อทำนายตลาด แต่เพื่อเข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ต่างหาก

คนส่วนใหญ่เรียนโหรเพราะหวังจะได้สูตรลับ สนใจแต่เรื่องอื่นจนมองข้ามตัวเอง ถือว่าผิดพลาดตั้งแต่จุดเริ่มต้นแล้ว คนจะประสบความสำเร็จในการลงทุน / เก็งกำไร / การพนัน / เสี่ยงโชค ต้องมีดวงชะตาเด่นทางด้านนี้ เราดูกันที่ภพ 5 ภพนี้คือรายได้ที่เกิดจากการใช้ “เงินต่อเงิน” ทุกประเภท รวมถึง Sense ในการประเมินความเสี่ยง

วอร์เรน บัฟเฟต์คือตัวอย่างสำคัญ ทุกคนมองว่าเขาเป็นนักลงทุน แต่ลืมไปว่าบัฟเฟต์ชอบเล่นไพ่โป๊กเกอร์เป็นชีวิตจิตใจ อังคารดาวเจ้าเรือนภพ 5 เข้มแข็งมาก เรามองได้ 2 มุม (1) Sense ในการประเมินความเสี่ยงที่ดีเลิศ ทำให้บัฟเฟต์เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จที่สุด (2) นักลงทุนกับนักพนันคือ 2 ด้านของเหรียญเดียวกัน ถ้าคุณไม่มีดวงการพนัน ก็ยากที่จะร่ำรวยจากการลงทุน

แม้มีดวงเล่นหุ้น ก็ต้องดูลึกลงไปอีกว่าเล่นกลุ่มไหนดี ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกกลุ่มทำให้คุณรวย บางกลุ่มอาจทำคุณเจ๊งได้ สิ่งเหล่านี้บ่งชี้ชัดเจนอยู่แล้วในดวงชะตา คุณต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนลงทุน

บ่อยครั้งที่คนรวยจากหุ้นกลับหมดตัวในเวลาต่อมา นี่เป็นเพราะเขาเล่นหุ้นกลุ่มที่ถูกกับดวง จึงทำให้ร่ำรวย เมื่อเวลาเปลี่ยน หุ้นกลุ่มนั้นไม่เพอร์ฟอร์ม (ตามสถานการณ์เศรษฐกิจหรือดวงตลาด) เขาปรับพอร์ตไปเล่นกลุ่มที่ไม่ถูกกับดวง ความเสียหายจึงเกิดขึ้น ถ้าปีนั้นดวงชะตาตกหนักด้วย ก็อาจถึงขั้นเจ๊งหมดตัว

แล้วถ้าไม่มีดวง จะลงทุนในตลาดหุ้นได้ไหม ? คงต้องลงทุนผ่านกองทุนรวม แต่ถ้าอยากลงทุนเอง ก็ต้องทุ่มเทมากเป็นพิเศษ ในปัจจุบัน มีข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และบทวิเคราะห์มากมายเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ถ้าคิดกลั่นกรองดี ๆ คนไม่มีดวงก็ยังทำกำไรได้ แต่กำไรคงไม่มาก จะหวังรวยใหญ่ คงเป็นไปไม่ได้

ตลาดหุ้นอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน