3 ปัจจัย ทำให้ Healthcare กลับมาน่าลงทุนอีกครั้ง

3 ปัจจัย ทำให้ Healthcare กลับมาน่าลงทุนอีกครั้ง

3 ปัจจัย ทำให้ Healthcare กลับมาน่าลงทุนอีกครั้ง

สวัสดีเดือนมี.ค.นะครับ ต้องยอมรับว่าแม้ชัยชนะจากการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์จะเป็นเรื่องที่ดูจะผิดคาดแล้ว แต่การปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นสหรัฐฯอย่างรุนแรงหลังเลือกตั้ง จนทำ New high ไม่เว้นแต่ละวันกลับกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันมากกว่า ณ วันนี้เชื่อว่าหากใครติดตามการลงทุนอย่างสม่ำเสมอคงเห็นผู้เชี่ยวชาญการลงทุนไม่น้อยออกมาแสดงความเห็นว่าราคาหุ้นสหรัฐฯ แพงเกินไป ซึ่งในมุมมองผม ณ จุดนี้ หากถามว่า S&P 500 แพงไหม ผมคงไม่เถียง อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่ายังมีหุ้นสหรัฐบางตัว และบางกลุ่มที่ยังสามารถลงทุนได้ และควรเพิ่มสัดส่วนในพอร์ตในช่วงนี้ ซึ่งก็คือหุ้นกลุ่ม Healthcare นั่นเองครับ

เหตุผลที่ผมมองหุ้นกลุ่ม Healthcare ว่า น่าสนใจนั้นเป็นเพราะว่า เวลาที่ผมเลือกจะลงทุนอะไรจะใช้หลักเกณฑ์ 3 ข้อเพื่อตรวจสอบน้ำหนักความน่าลงทุนของสินทรัพย์นั้นๆ ซึ่งหลักเกณฑ์ที่ว่ามีดังต่อไปนี้ครับ

1. ผมต้องถามตัวเองก่อนว่า "สินทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุนมีพื้นฐานเป็นอย่างไร?" ซึ่งถ้าพูดถึงธุรกิจกลุ่ม Healthcare แล้ว เชื่อว่าทุกคนคงไม่ปฏิเสธเรื่องพื้นฐานในระยะยาวของธุรกิจกลุ่มนี้ ซึ่งนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ปัจจัยเรื่องสังคมผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นและ โรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ สนับสนุนให้ความต้องการเทคโนโลยีในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยว่าทำไมหลายคนจึงมองลักษณะการเติบโตของธุรกิจกลุ่มนี้ในระดับ Megatrend

2. อย่าลืมดูความคาดหวังของตลาด สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวสะท้อนความคาดหวังของตลาดได้ดีก็คือราคาและความเคลื่อนไหวของราคา ยกตัวอย่างง่ายๆ เวลาตลาดเชื่อว่าหุ้นตัวไหนดีมากๆ ดูมีศักยภาพทำกำไรสูง ก็มักมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการหุ้นตัวนั้น ทำให้นักลงทุนจำนวนมากวิ่งเข้าไปซื้อ จนราคาหุ้นถูกไล่ขึ้นไปสูง ตามความคาดหวังของนักลงทุน ยิ่งคาดหวังมากเท่าไร ราคาย่อมปรับตัวขึ้นไปรวดเร็วเท่านั้น แต่หลายครั้งความคาดหวังก็ไม่ได้สะท้อนความจริง อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ ว่าหุ้นหลายตัวที่ story ดีๆ เวลาผลประกอบการออกมาต่ำกว่าคาด ราคาก็ปรับตัวลงอย่างรุนแรง ตรงกันข้ามกับหุ้นกลุ่ม Healthcare ซึ่งในช่วงก่อนหน้าราคามีการปรับตัวลงอย่างรุนแรงจากแรงกดดันทางการเมือง ด้วยการเสนอนโยบายกดดันราคายา ที่ในความเป็นจริงมีโอกาสทำได้ไม่มากนัก ราคาที่ปรับตัวลงมาแรง ทำให้พูดได้ว่าในเวลานี้ตลาดคาดหวังกับหุ้นกลุ่ม Healthcare ค่อนข้างต่ำเกินไป และโอกาสที่ธุรกิจกลุ่ม Healthcare จะสร้างผลงานได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็เป็นไปได้สูง ซึ่งหากธุรกิจ Healthcare ทำผลงานได้ดีจริง ก็จะเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถช่วยฉุดราคาหุ้นให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ครับ

3. ปัจจัยเร่งคือแรงส่งที่ทำให้ราคาดีดตัวได้เร็วขึ้น ต้องยอมรับว่าการเข้ามาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัล ทรัมป์ก็ทำให้มีเรื่องดีๆ ต่อธุรกิจกลุ่ม healthcare เช่นกัน 2 เรื่องหลักคงหนีไม่พ้น การเสนอนโยบายการลดภาษีการนำเงินกลับประเทศให้แก่ธุรกิจในสหรัฐฯ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจกลุ่ม Healthcare สามารถควบรวมกิจการ ที่จะสร้าง synergy แก่ธุรกิจกลุ่มนี้มากขึ้น และการผ่อนปรนกฎระเบียบในการขึ้นทะเบียนยา หรือที่เรียกว่า FDA ซึ่งจะทำให้บริษัทยาสามารถนำยาออกมาขายในท้องตลาดได้เร็วขึ้น เป็นผลดีต่อกำไรของบริษัทในอนาคต ผมจึงมองปัจจัยทั้งสองนี้เป็นตัวกระตุ้นที่จะเพิ่มโอกาสให้ราคาหุ้นกลุ่ม Healthcare ดีดตัวขึ้นมาได้เร็วครับ

ตามที่ได้พิจารณาจาก 3 หลักเกณฑ์สำคัญ ที่ผมใช้ตรวจสอบน้ำหนักความน่าลงทุนแล้ว ต้องบอกว่า ณ วันนี้หุ้นกลุ่ม Healthcare นั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความน่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง ผมเชื่อว่านักลงทุนหลายท่านก็อาจกำลังคิดเหมือนกับผม และอาจกำลังพิจารณาเพิ่มสัดส่วนกองทุนหุ้น Healthcare เข้าไปในพอร์ต หากเป็นเช่นนั้น ผมก็อยากจะขอให้ลองตรวจสอบดูก่อนว่า พอร์ตของเราในตอนนี้มีกองทุนหุ้น Healthcare อยู่แล้วหรือไม่ และมีในสัดส่วนเท่าไร ซึ่งถ้าหากมี หรือมีเพียงเล็กน้อย ก็สามารถเพิ่มสัดส่วนให้อยู่ที่ประมาณ 10-15% ได้ แต่หากมีมากอยู่แล้วก็ไม่ควรซื้อเพิ่ม เพราะเชื่อเถอะว่า แม้เราจะทำการบ้านมาดีเพียงใดก็ตาม แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ การควบคุมความเสี่ยงจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้การเลือกสินทรัพย์ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงเลย อย่างที่ได้ยินกันเสมอว่า Don’t put all eggs in one basket อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว

ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ สวัสดีครับ