Sleeping Scale สำหรับแต่ละการลงทุน

Sleeping Scale สำหรับแต่ละการลงทุน

Sleeping Scale สำหรับแต่ละการลงทุน

ภายใต้บรรยากาศที่ตลาดหุ้นทั่วโลกที่นำโดยตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากปรากฏการณ์ Trump Effect ซึ่งในรอบนี้ ดัชนีหุ้นหลักในสหรัฐทั้ง 3 ตัว ได้แก่ Dow30 S&P500 หรือ Nasdaq ต่างก็ได้สร้างจุดปิดสูงสุดตลอดกาลของแต่ละดัชนีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ขณะที่ภาวะตลาดหุ้นบ้านเราในรอบนี้ หลังจากที่ SET ไม่สามารถปิดเหนือระดับ 1,600 ได้ ดัชนีได้ค่อย ๆ ปรับฐานลงมา ซึ่งอาจสร้างความหงุดหงิดและกังวลใจให้นักลงทุนหลายคน บางท่านอาจถึงขั้นนอนไม่ค่อยหลับ คล้าย ๆ กับในกรณีของ มร.J.P. Morgan (นักการเงินผู้ทรงอิทธิพลในต้นศตวรรษที่ 19) ที่ครั้งหนึ่งเคยมีเพื่อนที่มีความวิตกกังวลมากในการถือครองหุ้นอยู่ใน Port จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถหลับนอนได้ ซึ่งเมื่อเพื่อนคนนี้มาขอคำปรึกษา มร.J.P. Morgan ได้ตอบเพื่อนผู้นั้นไปว่า ให้ทยอยขายหุ้นออกไปจนกว่าจะเหลือถืออยู่ที่ระดับหรือจุดที่สามารถนอนหลับได้ หรือ Sleeping Point

Concept ในเรื่องของ Sleeping Point นี้ Professor Burton G. Malkiel ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ A Random Walk Down Wall Street เมื่อ 44 ปีที่แล้ว โดย Malkeil นำ Sleeping Scale สำหรับการลงทุนแต่ละประเภท เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับ สภาพของการนอนหลับ อาทิ การฝากเงินในธนาคารแบบออมทรัพย์เสนอให้นำไป เทียบได้กับ สภาพการนอนแบบ "Semicomatose" ซึ่งแปลว่า "การหลับสนิทชนิดไม่รู้สึกตัวที่ปลุกยังไงที่ไม่ตื่น" ทั้งนี้ เนื่องจากการฝากเงินในธนาคารมีความเสี่ยง ที่ต่ำ ๆ มาก ถอนเมื่อไรก็ได้ เงินต้นได้รับความคุ้มครองจากสถาบันประกันเงินฝาก และต้องแลกมาด้วยอัตราผลตอบแทนที่ต่ำมากๆ

ระดับถัดไปก็คือ การลงทุนในกองทุนตราสารเงิน หรือ Money Market Fund และ/หรือ การฝากเงินกับธนาคารแบบประจำ 6เดือน ถูกนำเสนอให้ไปเทียบได้กับสภาพการนอนแบบ "Sound night's sleep" หรือแปลว่า "หลับสนิทเป็นอย่างดี" ทั้งนี้ เนื่องจากการลงทุนใน Money Market และการฝากประจำกับธนาคาร มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ และได้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์

ถัดมา Prof. Malkielได้จัดให้การซื้อและถือครองหุ้นกู้เอกชนของบริษัทที่มี เครดิตดีๆ และถือจนครบกำหนดอายุ (Held to Maturity) เทียบได้กับสภาพการนอนแบบ "An occasional dream or two, some possibly unpleasant" หรือแปลได้ว่า "นอนหลับแบบฝันบ้างเป็นบางครั้ง" เนื่องจาก การลงทุนในหุ้นกู้เอกชนข้างต้นจะมีความเสี่ยงต่ำ แต่อาจจะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและเสียโอกาสหากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต

ถัดไป ก็คือสภาพการนอนแบบ "Some tossing and turning before you doze, and vivid dreams before awakening" หรือแปลว่า "นอนพลิกไปมาก่อนหลับและฝันเสมือนจริงก่อนตื่น" เทียบการลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงแล้วของหุ้น Blue-chip ในสหรัฐ ซึ่งมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ผลตอบแทนในระยะยาวอยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจ

ขณะที่การลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจายความเสี่ยงแล้วของหุ้น Small Cap และ Growth Company ในสหรัฐ Dr.Burton ได้กำหนด Sleeping Scale ในลักษณะ "Nightmares not uncommon but, over the long run, well rested" หรือแปลว่า "ฝันร้ายบ้างบางครั้งแต่ก็ยังถือว่าเป็นการพักผ่อนที่เพียงพอ" ทั้งเนื่องจากพอร์ตหุ้นSmall Cap และ Growth ดังกล่าวมีความเสี่ยงสูงกว่า พอร์ตหุ้น Blue-chip แต่มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงกว่า

ในขณะที่ Sleeping Scale สำหรับการลงทุนในพอร์ตที่มีการกระจาย ความเสี่ยงแล้วของหุ้นในตลาด Emerging Market ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับ สภาพการนอนที่เป็น "Vivid dreams and occasional nightmares" หรือ แปลว่า "ฝันเสมือนจริงและฝันร้ายเป็นบางครั้ง" ทั้งนี้ พอร์ตหุ้นใน Emerging Market มีความเสี่ยงที่สูงมากกว่า พอร์ตหุ้นในสหรัฐ แต่สามารถจะสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยที่สูงกว่า

ลำดับบนสุดของ Sleeping Scale ของ Prof.Malkiel ก็คือ สภาพการนอนแบบ "Bouts of insomnia" หรือแปลว่า "ประสบปัญหาเป็นโรคนอนไม่หลับ" ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการลงทุนในทองคำ ซึ่ง Dr.Burton มีความเห็นว่าทองคำเป็น การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก เนื่องจาก Burton เชื่อว่าทองคำมีอัตราผลตอบแทน มีแนวโน้มที่ไม่ชัดเจนจนไม่สามารถที่จะพยากรณ์ได้

ตอนท้าย Burton สรุปเรื่อง Sleeping Scale ไว้ว่า บุคคลในแต่ละช่วงอายุ สมควรที่จะมีจุดที่สามารถหลับได้ หรือ Sleeping Point ที่แตกต่างกัน อาทิ นักธุรกิจสาวไฟแรง ย่อมสมควรจะมีจุดหลับต่างจาก แม่ม่ายที่สุขภาพย่ำแย่

โดย Burton ได้ให้ Guideline ถึงสัดส่วนการลงทุนในสำหรับแต่ละบุคคลจำแนกตามช่วงอายุเอาไว้ให้ สอดคล้องกับ Sleeping Point อาทิ สำหรับบุคคลที่เพิ่งเรียนจบอายุ 20-30ปี น่าจะมีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 70%ตราสารหนี้ 15%อสังหาริมทรัพย์ 10%และเงินสด 5%

ขณะที่ ผู้ที่อยู่ในวัยเกษียณอายุ สมควรจัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 40%ตราสารหนี้ 35%อสังหาริมทรัพย์ 15%และ เงินสด 10%ของเงินลงทุนทั้งหมด

ทั้งนี้ ท่านผู้อ่านที่สนใจสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในหนังสือ A Random Walk Down Wall Street เป็นหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนขั้นพื้นฐานที่นักลงทุน ทั้งหลายสมควรจะต้องอ่านเล่มหนึ่งครับ