ขนบ /แย้งขนบเพื่อสร้าง 'ความรู้ใหม่'
ผมได้รับเกียรติเชิญไปแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในเรื่องแนวทางการแสวงหาความรู้
ด้วยการวิจัยทางสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยบูรพา จึงขอนำเอาบางประเด็นมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
ผมเริ่มต้นการแลกเปลี่ยนด้วยการนิยามคำว่า“ความรู้/ความรู้ใหม่” เพื่อเป็นจุดเดินเรื่องทั้งหมด ผมนิยามความรู้ว่าความรู้ คือ การเชื่อมโยง “ข้อมูลปลีกๆ” ให้เกิด “ความหมาย” ซึ่งการเชื่อมโยงเช่นนี้จะทำให้เข้าใจเรื่องนั้นได้ และผมเน้นย้ำว่าความรู้ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างสรรค์สายสัมพันธ์เชื่อมต่อ“ข้อมูลปลีก” ทั้งสิ้น
ส่วนการสร้างความรู้ใหม่ ก็คือ การเชื่อมโยง “ข้อมูลปลีกๆ” หรือการมองเห็น/จินตนาการสายสัมพันธ์เชื่อมโยง “ ข้อมูลปลีกๆ” ในลักษณะใหม่ ซึ่งทำให้เกิด “ความหมายใหม่” อันส่งผลให้เข้าใจเรื่องนั้นได้ดีขึ้น/หลายมุมมอง/มีพลังในการอธิบายมากขึ้น และเน้นว่าโลกและสังคม “พัฒนา”ขึ้นมาจนถึงวันนี้ก็เพราะมีการสร้าง“ความรู้ใหม่” ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
การสร้าง “ ความรู้ใหม่” เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งในสังคมไทย เพราะสังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างไพศาลและลึกซึ้ง “ ความรู้ชุดเดิม ” เกี่ยวกับสังคมไทยเริ่มไม่สามารถจะอธิบายปรากฏการณ์ใหม่ๆได้ สังคมไทยกำลังอยูในจังหวะของการเคลื่อนย้ายทางสังคมสูง ซึ่งก่อให้เกิดการตึงเครียดทางสังคมสูง และชักนำให้ความขัดแย้งในระดับต่างๆเกิดได้ง่ายขึ้น จนอาจจะกล่าวได้ว่าสังคมไทยกำลังเปลี่ยนรูปสังคม ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ความหมายของผู้คนในระบบความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งหมดเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
เพราะความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้และไม่เข้าใจ เราจึงงุนงงสงสัยว่าทำไมเรื่องราวต่างๆในทุกระดับทุกมิตนั้นจึงเกิดมาได้ สังคมไทยอย่างที่เราคุ้นเคยหายไปไหน เราจึงต้องการ“ความรู้”และการอธิบายชุดใหม่
แต่สังคมไทยกลับไม่สามารถสร้าง “ ความรู้ใหม่” ได้ทันท่วงที เพราะเรายึดติดอยู่กับ “ขนบ”ความรู้เดิมที่ถูกสร้างให้กลายเป็นความจริงตลอดเวลาที่ผ่านมา ตัวอย่างง่ายๆ เช่น การชี้โทษไปที่ “ การรับวัฒนธรรมตะวันตก” อันมีความหมายว่าความเป็นไทยนั้นดีอยู่แล้ว เพียงแต่คนบางกลุ่มมองเห็นผิดเป็นชอบและไปรับเอาวิธีคิดวิธีรู้สึกของฝรั่งมาจึงทำให้เกิดปัญหา ตัวอย่างของ “ความดีงามของความเป็นไทย” ได้ทำให้สังคมไทยมองไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งในที่สุดแล้วก็ไม่ได้สร้างสรรค์ทางออกจากปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ได้เลย
สังคมไทยจำเป็นที่จะต้อง “ แย้งขนบ” ความรู้เพื่อที่จะทำความเข้าใจในปรากฏการณ์และความเปลี่ยนแปลงในทุกมิติของสังคมไทย การ “แย้งขนบ” จึงเป็นการแผ้วถางทางเดินแห่งความรู้
หากเราต้องการจะสร้าง “ความรู้ใหม่” ที่จำเป็นต้อง “ แย้งขนบ” ต้องเริ่มต้นจากการตั้งคำถามกับ “ชุดความรู้เดิม”ให้มาก และต้องห้ามการยอมจำนน(อย่างสิ้นเชิง)หรือรู้สึกเพียงพอต่อกรอบการอธิบายเดิม พร้อมกับต้องแสวงหา/เปรียบเทียบ/การมองจากปัญหาลักษณะเดียวกันจาก “สายตาอื่น” (อันอาจจะเป็นทฤษฏีสังคมศาสตร์ใหม่ๆ ) ซึ่งจะทำให้เราสามารถมอง “ข้อมูลปลีกๆ” ด้วยความหมายใหม่และจะเป็นการเปิดทางให้เราสร้างการเชื่อมต่อข้อมูลต่างๆใหม่ได้
การที่จะ “ แย้งขนบ” เพื่อสร้าง “ ความรู้ใหม่” ให้เกิดขึ้นมาได้ จำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นที่การตั้งคำถาม คุณภาพของ“คำถาม” จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดของการแสวงหาความรู้ จากนั้นก็ลองพยายามเชื่อมต่อ “ ข้อมูลปลีกๆ” ด้วยการเลือกสรร/ปรับใช้กรอบคิดทางสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์ ( การเลือกสรรขึ้นอยู่กับ “คำถาม” และ“ข้อมูล”) กรอบคิดทางสังคมศาสตร์จะเป็นเสมือนแว่นตาที่ช่วยให้เรามองเห็น/จินตนาการสายสัมพันธ์ที่จะนำมาร้อยรัดข้อมูลต่างๆให้เป็นระบบที่เข้าใจได้
กระบวนการสร้าง “ความรู้ใหม่” ที่สำคัญได้แก่ กระการสร้าง conceptualisation ( ผมไม่รู้ว่าจะแปลเป็นภาษาไทยให้เหมาะสมอย่างไรดี หากจะแปลแบบทั่วๆไปก็ประมาณว่า การสร้างกรอบความคิดรวบยอด )
ผมอธิบายการสร้าง conceptualisation ว่าเป็นการการมองเห็น“ความเหมือน” “ความคล้ายคลึง” “ความแตกต่าง” ซึ่งพอจะกล่าวแบบรวมๆได้ว่าเป็นการมองเห็นลักษณะร่วมของปรากฏการณ์หรือข้อมูลจำนวนมากพอที่จะ “ยกระดับ” ลักษณะร่วมนั้นให้เป็นคำอธิบายที่ครอบคลุมได้มากขึ้น เช่น นักวิชาการฝรั่งมองเห็นการจัดการ “คนบ้า” ในสมัยหนึ่งว่ามีลักษณะร่วมกันแบบหนึ่งโดยส่งลงเรื่อออกไปสู่ทะเล แต่ต่อมาการจัดการ “คนบ้า” กลายมาสู่การสร้างพื้นที่ควบคุม ก็ทำให้เขายกระดับลักษณะร่วมของการจัดการคนบ้ามาสู่การอธิบายถึงความรู้ที่ถูกสร้างขึ้นจัดการคนบ้าในนามของความศิวิไลซ์ เป็นต้น
กระบวนการสร้าง “ ความรู้ใหม่” จำเป็นที่จะต้องทำกันในทุกระดับของการศึกษา โดยแบ่งให้ได้ว่าในแต่ละระดับการศึกษานั้น จำเป็นต้องเห็นหรือเชื่อมโยงอะไรในการทำความเข้าใจโลกและสังคม จากนั้นจึงเปิดโลกให้แก่ผู้เรียนในการสร้างสรรค์ความรู้ของตนเอง
ขอฝากความหวังไว้ที่ทุกท่านในการสร้างสรรค์ “ความรู้ใหม่” เพื่อสังคมไทยของเราครับ