ตลาดหุ้นจีนไปได้ไกล ??

ตลาดหุ้นจีนไปได้ไกล ??

ตลาดหุ้นจีนไปได้ไกล ??

ตั้งแต่ต้นปี 2560 หุ้นจีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า สะท้อนได้จาก ตลาดหุ้น H-Share สามารถสร้างผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ที่ 10.90% และตลาดหุ้น A-Share ที่สร้างผลตอบแทน YTD ที่ 4.83% หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆของจีนซึ่งออกมีดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้และแสดงถึงการชะลอตัว อย่างมีเสถียรภาพ (Soft Landing scenario) ซึ่งสะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ประคองตัวได้ โดย GDPไตรมาส 4/59 ที่ขยายตัว 6.8% เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า นอกจากนี้ มูลค่าของหุ้นจีน

โดยเฉพาะ H-Share ปรับตัวขึ้นมากกว่าหุ้น A-Share เนื่องจากระดับราคาหุ้นเมื่อเทียบกับมูลค่าพื้นฐานของตลาดหุ้น H-Share ยังคงถูกเมื่อเทียบกับ A-Share โดย P/E 2017 ของตลาดหุ้น H-Share อยู่ที่ 8.56 เท่า เทียบกับตลาดหุ้น A-Share อยู่ที่13.21 เท่า (ที่มา Bloomberg ข้อมูล ณ วันที่ 22 ก.พ.60) ประกอบกับการปฏิรูปตลาดหุ้นเชื่อมต่อระหว่างตลาดหุ้นเซิ้นเจินและฮ่องกงเข้าด้วยกัน (SZ-HK Connect) ในช่วงปลายปี 2559 ทำให้มีเงินทุนไหลเข้าตลาดฮ่องกงจากประเทศจีนมากขึ้นและนักลงทุนจีนมีความต้องการที่จะกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกมานอกประเทศอยู่แล้ว จากความกังวลว่าค่าเงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ

ในส่วนของนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ทั้งการประชุม National People Congree (NPC) และ Chinese People’s Political Consultative Conference (CPPCC) ของจีนในเดือนมีนาคมนี้จะมีการเสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ โดยเฉพาะนโยบายการคลังผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการรับเหมาก่อสร้างประกอบกับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและราคาสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มออกมาดีกว่าที่ตลาดเคยคาดการณ์

การคลายความกังวลต่อผลกระทบหลังรัฐบาลสหรัฐอเมริกายังคงไม่มีท่าทีจะใช้ปรับภาษีสินค้าจากจีน นอกจากนี้การที่ประธานาธิบดีสหรัฐยังมีท่าทีที่อ่อนลงต่อจีน โดยมีการออกมายอมรับนโยบายจีนเดียว (One China)ซึ่งถือว่าทั้งไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่คือจีนทั้งหมด หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้มีการติดต่อโดยตรงกับประธานาธิบดีไต้หวันซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อภาครัฐจีนอย่างมากประกอบกับการที่ตลาดเริ่มคลายความกังวลต่อภาคการเงินและภาคอสังหาริมทรัพย์จีน เนื่องจากทางการจีนได้เริ่มเข้ามาควบคุมตลาดดังกล่าวมากขึ้นเพื่อป้องกันภาวะฟองสบู่แตก เช่น ทางธนาคารกลางจีน (PBoC) ออกมาส่งสัญญาณจะดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดมุ่งเน้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย การเพิ่มภาษีต่างๆในภาคอสังหาริมทรัพย์ และการควบคุมการเติบโตของบริษัทประกันผ่านการควบคุมสัดส่วนหุ้นจดทะเบียนที่สามารถเข้าไปถือได้

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศจีนยังมีอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดหุ้นจีนก็มีทิศทางที่ดีขึ้น แต่จีนยังคงมีปัจจัยเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามและเป็นปัจจัยที่มีนัยต่อภาคเศรษฐกิจและการลงทุน ซึ่งในมุมมองของการลงทุนถัดจากนี้ ผมมองว่า นักลงทุนยังต้องใช้ความ “ระมัดระวัง” ในการลงทุนในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากแล้วและยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ซึ่งอาจจะทำให้มีแรงขายทำกำไรระหว่างทางและทำให้ตลาดย่อตัวลงได้ ประกอบกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาต่อจีนยังเป็นปัจจัยที่เปราะบางต่อการลงทุน เนื่องจากหากสหรัฐอเมริกากลับมาแสดงท่าทีที่แข็งกร่าวต่อจีนแล้ว อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน และกดดันให้นักลงทุนขายหุ้นจีนเพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนได้ รวมทั้งทิศทางของค่าเงินหยวน ซึ่งหากค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้น หลังธนาคารกลางสหรัฐขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย หรือ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ฟื้นตัว อาจกดดันให้มีกระแสเงินทุนไหลออกจากจีน

ดังนั้น หากนักลงทุนที่มีพอร์ตการลงทุนในจีนเมื่อได้กำไรแล้ว แนะนำว่าทยอยขายทำกำไรบางส่วนออก (Taking Profit) เพื่อล็อกผลตอบแทนในส่วนที่ได้กำไร (Lock-Profit) ขณะที่นักลงทุนที่ต้องการลงทุนในจีนและรับความเสี่ยงได้บางส่วนแนะนำให้ลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงหรือกระจายการลงทุนเท่านั้น

“ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน"