ช็อก! คิมจองนัมตายด้วย VX 'อาวุธเคมีทำลายล้างสูงสุด'

หลังการชันสูตรศพของผู้ตายที่เชื่อว่าเป็น “คิมจองนัม” พี่ชายต่างมารดาของผู้นำเกาหลีเหนือคิมจองอึน ตำรวจที่กัวลาลัมเปอร์ยืนยันว่า “ยาพิษ” ที่ใช้สังหารกลางสนามบินกัวลาลัมเปอร์เมื่อ 10 วันก่อนเป็น VX nerve agent หรือสารทำลายประสาทอย่างแรง

สารตัวนี้สหประชาชาติตีความเข้าข่าย “อาวุธทำลายล้างสูง” (weapon of mass destruction) ที่ปกติเป็นสารผิดกฎหมาย ใช้เฉพาะในสงครามเคมีเท่านั้น

ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าสารที่ว่านี้ไร้กลิ่น และหากโปะใส่หน้าใคร จะตายภายใน 2 ชั่วโมง

เพราะ VX nerve agent เป็นสารทำลายประสาท ที่มีอานุภาพสั่งทำลายร้ายแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ใช้แม้แต่เพียงหยดเล็กๆ ซึมผ่านผิวหนังมนุษย์ก็พอที่จะ “ทำลายระบบประสาท” จนสิ้นใจได้ต่อหน้าต่อตา

ในกรณีคิมจองนัม ภาพกล้องวงจรปิดเห็นผู้หญิงสองคนวิ่งเข้าประชิดตัวเขา พร้อมผ้าที่เข้าใจว่าปนสารพิษที่ว่านี้แล้วโปะใส่หน้า หลังจากนั้นทั้งสองก็วิ่งหนีไปเรียกแท็กซี่ ขณะที่คิมจองนัมเดินโซซัดโซเซไปหาเจ้าหน้าที่พยาบาลของสนามบิน เขาถูกส่งขึ้นรถพยาบาลเพื่อรุดไปโรงพยาบาลในเมือง แต่เสียชีวิตเสียก่อน

ผู้รู้บอกว่า nerve agent นี้มีอานุภาพการทำลายประสาทของคน มากกว่าแก๊สทำลายประสาทประเภท Sarin ซึ่งเคยถูกใช้โดยสมาชิกกลุ่มคลั่งลัทธิของญี่ปุ่นในการโจมตีรถไฟใต้ดินเมื่อ 22 ปีก่อนถึง 100 เท่า

เหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นครั้งนั้นมีคนตาย 13 คนและบาดเจ็บกว่า 6,000 คน ถึงวันนี้หลายคนยังมีปัญหาสายตา และรู้สึกอ่อนเพลียเป็นพักๆ เพราะผลจากการสูดสารพิษนั้นเข้าไป

เพราะ VX ไม่มีกลิ่น ไม่มีสีจึงทำให้การป้องกันการโจมตีด้วยสารร้ายแรงเช่นนี้ทำได้ยากมาก

ว่ากันว่าสูตรสารร้ายแรงนี้พัฒนาที่อังกฤษก่อน แล้วจึงส่งต่อไปยังกองทัพสหรัฐ ซึ่งเริ่มผลิตในปี 1961 และมีการนำไปใช้ “ภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัด” ของทหารอเมริกันในอิรัก

เคยมีข่าวว่าอดีตผู้นำอิรัก ซัดดัม ฮุสเซ็น เคยใช้สารนี้กับกบฏชาวเคิร์ดในปี 1988 และในสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่าน

อเมริกาและรัสเซียเป็นสองชาติที่ยอมรับว่ามี VX อยู่ในครอบครองเป็นจำนวนมากพอที่จะทำสงครามได้

เกาหลีเหนืออ้างว่าไม่เคยมีโครงการผลิตอาวุธเคมี แต่วงการทูตก็เชื่อว่ารัฐบาลเปียงยางมีสต็อกอาวุธเคมีระหว่าง 2,500 ถึง 5,000 ตัน ซึ่งหากเป็นความจริงก็แปลว่าเกาหลีเหนือมีอาวุธร้ายแรงลักษณะนี้เป็นอันดับที่สามของโลกทีเดียว

เมื่อรู้ว่าเจ้า VX ร้ายแรงอย่างนี้ พอตำรวจมาเลเซียออกข่าวเมื่อวานว่าคิมจองนัม ตายด้วยสารเคมีชนิดนี้ก็ย่อมสร้างความตื่นตะลึงไม่น้อย

หนีไม่พ้นว่าเกาหลีเหนือจะต้องปฏิเสธเสียงแข็ง ว่าตนไม่เกี่ยวกับการลอบสังหารพี่ชายต่างมารดาของท่านผู้นำ ถึงแม้ว่าข่าวกรองของมาเลเซีย สหรัฐ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ จะมีความโน้มเอียงที่จะเชื่อว่า เกาหลีเหนือเป็นผู้บงการให้เกิดกรณีสังหารข้ามชาติ ด้วยสารพิษร้ายแรงขนาดนั้น

เกาหลีเหนือยิ่งวันก็ยิ่งโดดเดี่ยวตัวเองจากประชาคมโลก ล่าสุดออกแถลงการณ์กล่าวหาจีนว่า “เต้นตามจังหวะเพลงของอเมริกา” เพราะปักกิ่งเพิ่งประกาศระงับการซื้อถ่านหินทั้งหมดจากเกาหลีเหนือถึงสิ้นปี ซึ่งแน่นอนว่าจะกระทบเศรษฐกิจของเกาหลีเหนืออย่างแรง เพราะรายได้จากการส่งออกถ่านหินไปจีน ทำรายได้เกือบครึ่งหนึ่งของการส่งออกทั้งหมดของประเทศนั้น

จีนประกาศมาตรการนี้หนึ่งสัปดาห์ หลังเกาหลีเหนือทดลองขีปนาวุธรอบล่าสุด จึงไม่ต้องสงสัยว่านี่คือปฏิกิริยาของจีนต่อการที่เกาหลีเหนือ “ไม่อยู่ในโอวาท” ของปักกิ่ง

เป็นช่วงจังหวะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งจะขึ้นมารับตำแหน่งได้เพียง 3 สัปดาห์

ดังนั้น การตัดสินใจของจีนที่ไม่รับซื้อถ่านหินของเกาหลีเหนือทั้งหมดอย่างฉับพลันเช่นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุอย่างแน่นอน

หรือนี่เป็นกลยุทธ์ของจีนที่จะบีบเกาหลีเหนือให้ยอมกลับมาเจรจากับประเทศต่างๆ ที่เคยรวมกันเป็น “คณะกรรมการ 6 ฝ่าย” ที่ล้มไปเพราะเกาหลีเหนือเดินออกจากเวทีเจรจา?

หรือนี่เป็นการส่งสัญญาณจากจีนถึงอเมริกาและยุโรปว่า “นี่คือจังหวะเดียวที่คุณจะกดดันให้เกาหลีเหนือยอมเจรจาด้วย”

แต่พอพบว่าคิมจองนัมตายด้วยสารเคมีร้ายแรงที่สุดเท่าที่มีอยู่ในขณะนี้ เกมอาจจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง... เพราะเปียงยางเริ่มใช้ “การทูตสารเคมี” อย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ แล้ว !