วัยรุ่นร้าย : การ "ยอมรับในระบบ" ที่ "ตีบตัน"

วัยรุ่นร้าย : การ "ยอมรับในระบบ" ที่ "ตีบตัน"

ปัญหา “วัยรุ่น” ที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า“เด็กแว้น/เด็กแซปและเด็กสะก๊อย” นับวันจะ

รุนแรงมากขึ้น และเชื่อว่าจะมีคนอายุสูงกว่าเข้ามาร่วมวงด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ ดังตัวอย่างของ “พี่” อายุ๒๖ที่ไปร่วมเที่ยวกับน้องมัธยมปีที่๔ จนเกิดเรื่องราวใหญ่โตที่ผ่านมา

แน่นอนว่า วัยรุ่นเกเรเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย หากที่ผ่านมาก็จะแต่เป็นเสมือนระลอกคลื่นที่ลูกคลื่นเก่าก็ยุติไป ระลอกใหม่ก็เกิดขึ้นไล่ตามมา แต่ปัจจุบันกลับไม่ใช่อย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว เพราะรุ่นเก่าไม่ยอมเลิกและรุ่นใหม่ก็ทะยอยมาเรื่อยๆ ที่สำคัญ การผสมผสานกันระหว่างคนสองรุ่นยิ่งทำให้ขยับพรมแดนของการเกเรออกไปได้อย่างหลากหลาย และมีแนวโน้มเข้าไปพัวพันกับธุรกิจสีดำ/สีเทามากขึ้น

เราจะเข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมนี้ได้อย่างไร

ผมมองว่าสาเหตุ/เงื่อนไขอย่างน้อยสองด้านด้วยกัน ที่ก่อให้เกิดกระบวนการผลักดันวัยรุ่นให้เกเรอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถกลับคืนสังคมปรกติได้

ด้านแรก การยอมรับความหมายตัวตนของวัยรุ่นหรือตำแหน่งแห่งที่วัยรุ่นในสังคมไทยเริ่มคับแคบและตีบตันมากขึ้น กล่าวคือ วัยรุ่นที่อยู่ในระบบการศึกษาจะพบว่าเกณฑ์ทางสังคมเกณฑ์เดียวเท่านั้นที่วัดคุณภาพตัวตนของเขา ได้แก่ การเรียนในระบบ หากใครไม่สามารถที่จะเรียนให้ดีหรือเรียนเก่งได้ ก็จะถูกผลักออกไปจากการยอมรับมากขึ้นตลอดมา

วัยรุ่นเกเรเกือบทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่สามารถที่จะทนอยู่กับการศึกษาในระบบได้ พวกเขาตกหล่นจากเกณฑ์วัดคุณค่าหนึ่งเดียว คือ ผลการเรียน ดังนั้น นักเรียนที่ไม่สามารถสร้างหรือได้รับการยอมรับจากเกณฑ์ที่คับแคบนี้จึงไม่รู้จะไปทางไหน การแสวงหาตัวตนของพวกเขาจึงเป็นการแหกกฏระเบียบออกไปและใช้สิ่งที่พวกเขามีอยู่ในการสร้างตัวตน อันได้แก่ ร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การสร้างกิจกรรมทุกอย่างที่แหกกฏระเบียบของสังคม

เกณฑ์ผลการเรียนที่แสนจะคับแคบนี้ถูกสร้างขึ้นจากสังคมนะครับ เราทุกคนถูกทำให้เชื่ออย่างเชื่องๆว่าการเรียนเท่านั้นเป็นหลักประกันชีวิตในอนาคต ประกอบกับการเรียนในระบบทุกระดับตั้งแต่ประถมถึงมัธยมก็เป็นสิ่งแสนจะน่าเบื่อหน่าย โรงเรียนไม่ได้ทำให้เกิดการเรียนรู้อะไรที่เหมาะสมและมีเสน่ห์กับวัยรุ่นเลยแม้แต่น้อย แรงบันดาลใจและความหวังของนักเรียนที่จะบรรลุบางสิ่งบางอย่างได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น

ขณะเดียวกัน ในอีกด้านหนึ่ง ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา ได้ทำให้การทำงานในภาคไม่เป็นทางการ( informal sector ) ขยายตัวอย่างมากและสามารถดูดซับนักเรียนที่จบไม่สูง/เรียนไม่เก่งได้ จึงทำให้เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องทำมาหากิน วัยรุ่นเกเรจำนวนมากก็จะเข้าสู่ภาคการผลิตนี้ ตัวอย่างของ นักเรียนช่างจำนวนไม่น้อยเมื่อจบช่างมาแล้วกลับไมาสามารถทำงานช่างแต่ออกมาสู่ภาคการผลิตไม่เป็นทางการนี้

ในหลายส่วนของภาคการผลิตไม่เป็นทางการนี้ จำเป็นที่จะต้องใช้ แรง” และ ความบ้าบิ่น ในการประกอบอาชีพ เช่น การแย่งที่ขายของในท้องถนน หรือ การเบ่งกล้ามเพื่อขับไล่คนที่มาเกาะแกเอากำไร 

ดังนั้น จึงทำให้เกิดการสืบทอดอารมณ์ความรู้สึกแบบ เกเร เอาไว้ในภาคการผลิตไม่เป็นทางการ และคนจำนวนหนึ่งที่เดินทางชีวิตเส้นนี้พบว่าบนฐานของความ “เกเร” ที่ตนเองมีอยู่จะสามารถหาช่องทางที่จะแสวงหารายได้มากขึ้นจากธุรกิจสีเทาและสีดำ

หากคิดจะเริ่มต้นแก้ไขปัญหานี้ (ซึ่งไม่ง่ายเลย) สิ่งแรกที่ต้องทำได้แก่การทำให้เกณฑ์การยอมรับวัยรุ่นกว้างขวางกว่าเดิมรวมทั้งต้องมีมิติต่างๆที่หลากหลายมากกว่าผลการเรียนในระบบ เพราะนอกจากเกณฑ์ผลการเรียนแล้ว ความสำเร็จที่สร้างการยอมรับอื่นๆ เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปหัตถกรรม ก็มีเพียงคนชั้นกลางระดับบนเท่านั้นที่สามารถสนับสนุนลูกหลานตัวเอง ครอบครัวส่วนใหญ่ในสังคมไทยไม่มีปัญญาส่งลูกไปเรียนพิเศษดนตรีได้หรอกครับ

ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างการยอมรับในด้านอื่นๆมากขึ้น เช่น ความสนใจทางด้านอีเลคโทรนิคพื้นฐาน หรือ การสร้างความสนใจในการสร้างสรรผู้ประกอบการอื่นๆในท้องถิ่นตนเอง ก็จะควรจะเป็นเกณฑ์ที่สังคมและโรงเรียนได้สร้างขึ้นมา

การทำให้เกณฑ์ที่คับแคบสลายลงและสร้างเกณฑ์การยอมรับที่หลากหลายมากขึ้น ก็จะทำให้ภาคการผลิตไม่เป็นทางการที่จะรองรับผู้คนในอนาคตนั้นมีพลังและประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น นักเรียนในพื้นที่ปลูกมะนาวขายก็สามารถที่จะรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับมากขึ้นหากสามารถตอนกิ่งมะนาวได้อย่างมีคุณภาพ และก็อาจจะนำไปสู่การสร้างสวนมะนาวที่แปลกใหม่มีคุณค่าเพิ่มมาขึ้น

กระทรวงศึกษาต้องคิดกันใหม่ทั้งหมดสำหรับการเรียนการสอน เกณฑ์คะแนนผลสอบต้องไม่ใช่ตัววัดคุณภาพของนักเรียนเพียงอย่างเดียว ศักยภาพและความสนใจของนักเรียนที่หลากหลายจะต้องถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นเกณฑ์การยอมรับในโรงเรียนและสังคมซึ่งจะทำให้นักเรียนสามารถที่จะผันตนเองออกจากการแหกกฎระเบียบต่างๆเพื่อให้ได้รับการยอมรับชื่นชมหรือแบบเกรงกลัวจากกลุ่มเพื่อน

สังคมก็ต้องเข้าใจให้ได้ว่าเด็กที่เรียนไม่เก่งในระบบก็อาจจะมีชีวิตที่เหมาะสมได้ในอนาคต หากพวกเขาสามารถค้นพบความหมายของตัวตนของเขาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น

หากไม่คิดแก้ไขกันในวันนี้ อนาคตเราก็จะอยู่ในสังคมที่กำปั้นใครใหญ่ก็จะอยู่รอดปลอดภัยครับ และเราก็คงต้องซื้ออาวุธติดตัวกันทุกคนครับ