เมื่อทรัมป์จะล้ม 'โอบามาแคร์'

เมื่อทรัมป์จะล้ม 'โอบามาแคร์'

เมื่อทรัมป์จะล้มโอบามาแคร์ “กองทุน Healthcare จะเป็นอย่างไร?”

“โอบามาแคร์มันไม่เวิร์คแล้ว! มันเป็นประกันห่วยๆ เพราะมันแพงเกินไป! ... และมันไม่ได้แพงกับเฉพาะคนที่ต้องทำนะ แต่มันแพงสำหรับอเมริกาด้วย ... เราต้องยกเลิก และทดแทนมันด้วยอะไรสักอย่างที่มันไม่แพงแบบนี้”

และอิง Twister ของทรัมป์ “People must remember that ObamaCare just doesn't work, and it is not affordable ‘The Affordable Care Act (ObamaCare) is no longer affordable!’ - And, it is lousy healthcare.”

นี่เป็นวาทะเด็ดในความทรงจำของนักลงทุนในกองทุนประเภท Healthcare เพราะหลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ พูดเรื่องนี้ไปในช่วงการดีเบตครั้งที่ 2 เดือนตุลาคม 2559...หุ้นและกองทุน Healthcare ในอเมริกาก็ปรับลดลงไปราว ๆ 10% ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?

ต้องยอมรับว่ากองทุน Healthcare นั้นเป็นกองทุนที่สร้างผลกำไรให้กับนักลงทุนได้อย่างสวยหรู ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีหลังจาก Sub-Prime Crisis เมื่อปี 2008 ด้วยตัวเลข +230% (ผลตอบแทนกองทุน BCARE) ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องการฟื้นตัวของตลาดหุ้นหลังวิกฤตเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องของ โอบามาแคร์ ด้วยแหละครับ ที่ทำให้หุ้นและกองทุนกลุ่มนี้ปรับตัวได้มากขนาดนี้ “เพราะ โอบามาแคร์ คือประกันแบบกลุ่มที่มีกลุ่มผู้ทำประกันคือคนอเมริกันทั้งประเทศ”

สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้

เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมาหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของอเมริกาอย่างเป็นทางการไปแล้วนั้น คำสั่งแรกหลังจากรับตำแหน่งคือ “การลงนามให้ระงับ / ชะลอ กระบวนการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ โอบามาแคร์” ซึ่งยังไม่ได้ถือเป็นการยกเลิก แต่เป็นเหมือนการปูทางไปสู่การยกเลิกนโยบายนี้ตามที่ได้หาเสียงไว้ ก่อนจะดำเนินการขออนุมัติจากสภาครองเกรสต่อไป ด้วยเหตุผลนี้ นี่จะเป็นช่วงเวลาที่คุณควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายขั้นต่อไปของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งหากคุณมีกองทุนที่เกี่ยวกับ Healthcare อยู่ “นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะแก่การลดพอร์ตการลงทุน เพื่อจำกัดความเสี่ยง ความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต”

แล้วสำหรับคนที่สนใจลงทุนล่ะ?

ในอดีตที่ผ่านมามีหลาย ๆ ครั้งที่เวลากองทุนประเภทนี้มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิก โอบามาแคร์ หรือข่าวว่าจะมีการคุมราคายา กองทุนมักจะมีความผันผวนสูงกว่าปกติ อย่างไรก็ตามความเสี่ยงของเรื่องนี้คือ "เรายังไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว โดนัลด์ ทรัมป์ จะยกเลิกหรือแค่ปรับเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างในตัวนโยบาย โอบามาแคร์" นั่นทำให้การลงทุนในช่วงนี้ นักลงทุนจำเป็นต้องติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด ว่าทิศทางนโบบายที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไร

แต่ยังมีอีกกลุ่มอุตสาหกรรมหนึ่งที่อาจได้ผลดีจากนโยบายของทรัปม์เช่นกัน คือ “อุตสาหกรรมการเงิน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธนาคาร ที่นอกจากจะได้ประโยชน์จากมาตราการลดภาษีนิติบุคคลแล้ว ยังได้ประโยชน์จากการวางแผนยกเลิกกฎหมายการเงิน หรือ Dodd-Frank Rule รวมไปถึง Volcker Rule ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกมาหลังจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 เพื่อให้ธนาคาร/สถาบันการเงินต่าง ๆ ในอเมริกาเพิ่มความเข้มงวดในการทำธุรกรรม แต่ขณะเดียวกันก็ได้สร้างความยุ่งยากในการดำเนินธุรกิจด้วย นั่นทำให้การมาของทรัมป์และการที่จะเข้ามาปรับเปลี่ยน หรือยกเลิกกฎหมายนี้ รวมไปถึงผลกระทบด้านบวก จากมาตราการลดภาษีนิติบุคคลลงอีก จาก 35% ให้เหลือ 15% เท่านั้น นั่นอาจทำให้ หุ้น/กองทุนกลุ่มสถาบันการเงินในอเมริกากลับมาน่าสนใจอีกครั้ง

ซึ่งทางหลักทรัพย์บัวหลวง ได้ทำการคัดเลือกกองทุนจาก 17 บริษัทจัดการกองทุนที่เราเป็นตัวแทนจำหน่ายอยู่ พบกองทุนที่น่าสนใจที่ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมดังกล่าวด้วยคือ กองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ไฟแนนเชียลเซอร์วิสฟันด์ จากบลจ.กรุงไทย ที่เน้นลงทุนในกองทุนต่างประเทศที่จะสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนี MSCI All Countries World Financials Index

และสามารถลงทุนผ่านหลักทรัพย์บัวหลวงได้ โทร 02-618-1116, 1019 หรืออีเมลล์ [email protected]

สุดท้ายก็ขอให้นักลงทุนทุกท่านศึกษาข้อมูลกองทุน ความเสี่ยง และรายละเอียดต่างๆ ในหนังสือชี้ชวนกองทุน ก่อนตัดสินใจลงทุนด้วยนะครับ