ความผันผวนของตลาด.. จากนโยบายทรัมป์

ความผันผวนของตลาด.. จากนโยบายทรัมป์

ส่งผลการลงทุนตลาดการเงินทั่วโลก เข้าสู่ภาวะ Risk-On Mode (ขายสินทรัพย์ปลอดภัย และลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง)

การกล่าวสุนทรพจน์ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอย่างเป็นทางการ ได้แสดงจุดยืนต่อนโยบายการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐ หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” (America First) โดยการตัดสินใจด้านการค้า ภาษี ประเด็นคนเข้าเมือง กิจการและการค้าระหว่างประเทศ ต้องเอื้อประโยชน์ต่อสหรัฐ และแรงงานชาวสหรัฐ 

ถ้อยแถลงของ ทรัมป์ มีวัตถุประสงค์สร้างความมั่งคั่ง และความแข็งแกร่งให้สหรัฐ โดยรัฐบาลจะดึงงาน และความมั่งคั่งกลับจากต่างประเทศ หรือ “ซื้อสินค้าอเมริกัน และจ้างชาวอเมริกัน” และ ทรัมป์ ยังประกาศกระตุ้นเศรษฐกิจ การจ้างงานครั้งใหญ่ ด้วยการก่อสร้างสาธารณูปโภคทั่วสหรัฐ

นับตั้งแต่ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ได้ลงนามใช้คำสั่งประธานาธิบดี (Executive Order) ในการออกกฎโดยไม่ต้องผ่านสภาหลายฉบับด้วยกัน ซึ่งมีประเด็นหลักที่สำคัญ เช่น ชะลอการใช้ เพื่อนำไปสู่การยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพ “โอบามาแคร์” ถอดถอนสหรัฐ ออกจากข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) อย่างเป็นทางการ

เร่งเดินหน้าโครงการวางท่อส่งน้ำมัน 2 เส้นทาง คือ ท่อส่งน้ำมันดาโกตา แอคเซส และท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน ออยล์ และยกเลิกมาตรการทางสิ่งแวดล้อมของโอบามา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขยับขยายโครงสร้างพื้นฐานทางพลังงาน ทั้งนี้ ได้มีคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำแผนในโครงการวางท่อและซ่อมแซมท่อส่งน้ำมัน ว่าต้องใช้เหล็กกล้า หรือวัสดุภายในประเทศเองให้มากที่สุด โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวช่วยหนุนความหวังที่ว่า รัฐบาลสหรัฐ จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นการจ้างงาน  ซึ่งช่วยหนุนเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

ทั้งมีคำสั่งให้เริ่มแผนก่อสร้างกำแพงกั้นแนวชายแดนสหรัฐ-เม็กซิโก เพื่อแก้ปัญหาเข้าเมืองผิดกฎหมาย และระงับงบส่วนกลางจากรัฐบาลที่ให้กับเมืองที่เป็นแหล่งพักพิงของผู้อพยพผิดกฎหมาย

ปัจจัยดังกล่าวส่งผลการลงทุนตลาดการเงินทั่วโลก เข้าสู่ภาวะ Risk-On Mode (ขายสินทรัพย์ปลอดภัย และลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง) โดยดัชนี DJIA ทำสถิติปิดเหนือระดับ 20,000 จุด ครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหุ้นนิวยอร์ก ขณะที่ดัชนี S&P500 และ NASDAQ ก็ปิดระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน 

จากความคาดหวังมาตรการที่จะเอื้อประโยชน์ต่อภาคธุรกิจ การจ้างงาน และการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นแรงสนับสนุนเศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง ทั้งนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นนิวยอร์ก ส่งผลให้มีแรงขายตราสารหนี้ และทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

นักลงทุนวิตกกังวลว่า นโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ อาจนำไปสู่การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ เพราะสหรัฐไม่ต้องการเสียเปรียบการทำการค้ากับประเทศคู่ค้า ที่ผ่านมา ทรัมป์ ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าสูงขึ้นกับบริษัทโตโยต้าโดยเฉพาะรถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกเพื่อนำเข้ามาขายในสหรัฐ 

ล่าสุด ทรัมป์ ลงนามคำสั่งพิเศษระงับการผ่านเข้าสหรัฐ ของพลเมืองจาก 7 ประเทศ ได้แก่ ซีเรีย เยเมน ซูดาน โซมาเลีย อิรัก อิหร่าน และลิเบีย เป็นเวลา 90 วัน และห้ามผู้ลี้ภัยจากทุกประเทศเข้าสหรัฐ 120 วัน ส่งผลให้นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ นางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี และนักลงทุนต่างไม่พอใจ และเกิดความวิตกกังวลว่า อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประเทศ

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจและการค้า อาจนำไปสู่การกีดกันทางการค้าระหว่างประเทศ และประเด็นระงับการผ่านเข้าสหรัฐของพลเมืองจาก 7 ประเทศ และห้ามผู้ลี้ภัยจากทุกประเทศเข้าสหรัฐ รวมไปถึงนโยบายเชิงลบต่างๆ ที่จะออกมาในอนาคต อาจเป็นแรงกดดัน และสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงิน และการลงทุนทั่วโลก รวมถึงความผันผวนของกระแสเงินทุน โดยนักลงทุนเริ่มกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย  

ดังนั้น ช่วงนี้ท่านผู้ลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนเป็นพิเศษ เพราะอาจได้รับผลกระทบจากความผันผวนของนโยบายยทรัมป์ แต่ผู้ลงทุนควรเตรียมพร้อมการลงทุนเสมอ เพื่อหาจังหวะเข้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานดี แต่มูลค่าลดลงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น เพราะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว