ว่าด้วย Dow แตะ 20,000

ว่าด้วย Dow แตะ 20,000

ณ วันนี้ ดัชนีดาวโจนส์แตะระดับ 20,000 จุด ถือว่าไม่ได้เป็นข่าวที่ใหญ่โต เหมือนสมัย

ปี 1987 ที่ตลาดหุ้นสหรัฐเกิดเหตุการณ์ Black Monday ตัวดัชนีดาวโจนส์ถือว่าเป็นพระเอกของข่าวดังทั่วโลก บทความนี้ จะขอถือโอกาสที่ดัชนีหุ้นที่อยู่กับเรามานานแตะระดับ 20,000 จุด ว่าแท้จริงแล้ว ดัชนีดาวโจนส์ยังมีดีตรงไหนที่สามารถครองใจชาวประชาที่เป็นระดับชาวบ้านได้เป็นเวลายาวนานถึงขนาดนี้

หนึ่ง ดัชนีดาวน์โจนส์เป็นดัชนีที่เข้าข่ายของการถ่วงน้ำหนักด้วยระดับราคาหรือ Price Weight ด้วยการบวกกันของราคาหุ้น 30 ตัว แล้วคูณด้วย 6.85 ทั้งนี้ หุ้นที่ถูกคัดสรรมาจะต้องเป็นตัวแทนของหุ้นในตลาดที่มีความสำคัญในยุคนี้ รวมถึงมีราคาที่ไม่สูงเกินกว่าหุ้นตัวอื่นๆในดัชนีดาวโจนส์ มีตัวอย่างหุ้นอย่าง Apple ที่แม้จะมีความสำคัญต่อตลาดหุ้นสหรัฐมาเป็นสิบปี ทว่าก็เพิ่งเข้าสู่ดัชนีดาวน์โจนส์ในเดือนมีนาคม 2015 ด้วยเหตุผลที่ว่าราคาก่อนที่หุ้นจะถูก Split ออกมาเป็น 7ต่อ 1 นั้นสูงเกินไป จนไปมีน้ำหนักที่มากเกินกว่าหุ้นตัวอื่นๆเป็นอย่างมาก ต้องรอหลังการแตกหุ้นจึงจะเข้าสู่ดัชนีดาวโจนส์แทน AT&T ได้ โดยปัจจุบัน หุ้นที่มีน้ำหนักสูงสุด 3 อันดับแรกของดัชนีดาวน์โจนส์ ได้แก่ Goldman Sachs, UnitedHealth และ Caterpillar โดยทั้งหมดนี้รวมกันมีน้ำหนักกว่าร้อยละ 40ในการที่ดัชนีดาวน์โจนส์ขึ้นมาถึง 20,000 จุด ในรอบนี้

สอง ดัชนีดาวน์โจนส์มีค่า P/E ที่ถือว่าไม่ถูกคือ 18 เท่าเมื่อเทียบกับผลกำไรในปี 2016 และ 16 เท่าเมื่อเทียบกับคาดการณ์ผลกำไรในปี 2017 โดยในช่วงหลังปี 2000 ค่าเฉลี่ย P/E อยู่ที่ 15 เท่า และต่ำลงไปสู่ที่ 10 เท่าในปี 2011 อย่างไรก็ดี ดัชนี S&P ยังถือว่าแพงกว่าของดัชนีดาวน์โจนส์ โดย P/E อยู่ที่ 17 เท่าเมื่อเทียบกับคาดการณ์ผลกำไรในปี 2017 ส่วนหนึ่งเนื่องจากมีหุ้นอย่าง Amazon และ Facebook ที่ราคาโดดไปไกลมากอยู่ในดัชนี S&P แต่ไม่ได้อยู่ในดัชนีดาวน์โจนส์

สาม ว่ากันว่านโยบายของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เน้นการลดกฎระเบียบทางการเงินและการทำธุรกิจ รวมถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จะส่งผลดีต่อเซกเตอร์การเงินและอุตสาหกรรมการผลิตที่หุ้นในกลุ่มนี้กระจุกตัวในดัชนีดาวน์โจนส์ มากกว่าหุ้นในกลุ่มหุ้นเชิงรับอย่างสาธารณูปโภคและบริษัทยาที่ดัชนีดาวน์โจนส์ไม่ค่อยมีหุ้นในกลุ่มนี้

สี่ หุ้นหลายตัวที่อยู่ในดาวน์โจนส์ที่ร่วงลงมาเยอะๆอย่าง Visa และ Home Depot เริ่มจะอยู่ในระดับราคาที่น่าสนใจ รวมถึง Visa เองก็มีแพลตฟอร์มทางธุรกิจของความเป็นบริษัทเครดิตและช่องทางการชำระเงินที่มองไปข้างหน้า ถือว่าอนาคตยังสดใส ซึ่งกำไรในปีนี้มีอัตราการเติบโตมากกว่าร้อยละ 15 ส่วนในราย Home Depot เองก็มีพื้นฐานร้านที่เป็นสาขาตามมอลล์ต่างๆทั่วสหรัฐซึ่ง Amazon ยากที่จะเจาะตลาดนี้ได้ อย่างที่ภาพยนตร์เรื่อง The Founder ที่เล่าถึงประวัติของเรย์ คลอค หนึ่งในผู้ปลุกปั้นให้กำเนิดร้าน McDonald ในปี 1954 ได้ว่าไว้คือร้านอย่าง Home Depot เป็นเหมือนบริษัทอสังหาริมทรัพย์มากกว่าร้านขายอุปการณ์สร้างบ้าน เนื่องจากมีสาขาทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา

ห้า จุดด้อยของดัชนีดาวน์โจนส์คือการให้น้ำหนักของดัชนีตามระดับราคาของหุ้นแต่ละตัวทำให้หุ้นที่สำคัญอย่างมากอย่าง Apple มีความสำคัญน้อยกว่าหุ้นที่ค่อนข้างโนเนมในยุคปัจจุบันอย่าง Travelers เนื่องจากระดับราคาต่ำกว่า อย่างไรก็ดี จุดด้อยดังกล่าวได้ถูกชดเชยด้วยความง่ายของผู้ใช้ดัชนีเนื่องจากใช้การบวกราคาของหุ้นแต่ละตัวแบบตรงๆ นอกจากนี้ หุ้นตัวที่สำคัญต่อดาวน์โจนส์มากที่สุดอย่าง Goldman, 3M, UnitedHealth หรือ Boeing ยังไม่ติดอันดับ Top 25 ของดัชนี S&P เสียด้วยซ้ำ

หก หุ้นที่คาดว่าน่าจะเข้าสู่ดาวน์โจนส์ในอีกไม่ช้า ได้แก่ Berkshire Hathaway, Comcast และ Facebook ส่วนหุ้นที่น่าจะออกจากดาวน์โจนส์ในอีกไม่ช้าได้แก่ Travelers, Cisco และ Intel โดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ มีแนวโน้มจะเข้าสู่ดาวน์โจนส์มากขึ้น ส่วนหุ้นในกลุ่มผลิตฮาร์ดแวร์ที่เป็นยักษ์ใหญ่ในอดีตมีแนวโน้มจะออกไป

ท้ายสุด ผมคาดว่าด้วยความสับสนวุ่นวายของนโยบายของทรัมป์และการที่ตลาด price in จุดดีของนโยบายทรัมป์ไปเยอะแล้ว โอกาสที่เราจะได้เห็น Dow ไปสู่ 30,000 ในอีกไม่กี่ปี ถือว่ามีโอกาสน้อยมากครับ