ไม่มีตลาดใดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด...หรือแย่ที่สุดเสมอไป

ไม่มีตลาดใดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุด...หรือแย่ที่สุดเสมอไป

ตลาดหุ้นไทยจากที่เคยให้ผลตอบแทนเกือบสุดท้ายในปี 2558 กลับให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2559

ผมจะพาทุกคน มาย้อนดูอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์แต่ละประเภท เริ่มจาก 2559 ที่ผ่านมา จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนรวมเงินปันผลสูงสุดคือ 23.90% รองลงมา คือ ตลาดหุ้นสหรัฐ ให้ผลตอบแทน 9.54% ซึ่งต่ำกว่าตลาดหุ้นไทย 14.36% ส่วนตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดคือตลาดหุ้นจีน ให้ผลตอบแทน -12.31% และหากเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นไทยที่ทำผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 จะพบว่าผลตอบแทนแตกต่างกัน 36.21% 

หากถอยหลังไปอีกในปี 2558 ตลาดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับ 1 คือตลาดหุ้นจีน ซึ่งให้ผลตอบแทนรวม 9.41% ส่วนตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดคือตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่ทำผลตอบแทน -16.96% ส่วนประเทศไทยให้ผลตอบแทนเป็นอันดับรองสุดท้ายคือ -11.23% ซึ่งในปีนี้ ผลตอบแทนระหว่างอันดับ 1 และอันดับสุดท้าย แตกต่างกัน 26.37% 

ส่วนในปี 2557 ตลาดหุ้นจีนให้ผลตอบแทนสูงสุดเช่นกันที่ 52.87% รองลงมาเป็นตลาดหุ้นไทย ให้ผลตอบแทน 19.12% ส่วนตลาดที่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดคือตลาดเกิดใหม่ที่ให้ผลตอบแทน -4.63% โดยผลตอบแทนระหว่างอันดับ 1 และอันดับสุดท้ายในปีนี้ แตกต่างกันถึง 57.50%

ผลตอบแทนต่อปีของหลักทรัพย์แต่ละประเภท ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า การลงทุนตลาดหุ้นญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ 17.72% ต่อปี ส่วนการลงทุนตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดที่ -1.21% ต่อปี คิดเป็นผลตอบแทนที่แตกต่างกัน 18.93% ต่อปี ซึ่งอาจดูไม่มาก แต่หากคิดเป็นผลตอบแทนรวม จะพบว่า การลงทุนในตลาดญี่ปุ่น 5 ปีให้ผลตอบแทนต่อนักลงทุน 126.1% แต่หากนักลงทุนนำเงินจำนวนเท่ากันไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ นักลงทุนจะขาดทุน 5.9% แม้ว่าจะลงทุนระยะยาวถึง 5 ปีก็ตาม ซึ่งต่ำกว่าผลตอบแทนในตลาดญี่ปุ่นถึง 132.0% 

ส่วนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนสูงสุดคือ 12.88% ต่อปี และการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดที่ -0.57% ต่อปี คิดเป็นผลตอบแทนที่แตกต่างกัน 13.45% ต่อปี และหากคิดเป็นผลตอบแทนรวม จะพบว่าการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 10 ปีให้ผลตอบแทนรวม 235.9% แต่ตลาดเกิดใหม่ให้ผลตอบแทนรวม -5.56% ต่ำกว่าตลาดหุ้นไทยถึง 241.5% 

และเมื่อดูผลตอบแทนการลงทุนในรอบ 15 ปี พบว่า ตลาดที่ให้ผลตอบแทนอันดับ 1 คือตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่อปีที่ 15.83% คิดเป็นผลตอบแทนรวม  806.4% ในขณะที่ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทนต่อปีต่ำสุดที่ 3.78% คิดเป็นผลตอบแทนรวมเพียง 20.4% ในระยะเวลา 15 ปี ซึ่งต่ำกว่าผลตอบแทนในตลาดหุ้นไทยถึง 786.4%

จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าในทุกๆปี เราจะเห็นผู้ชนะและผู้แพ้ที่แตกต่างสลับกันไป ตลาดหุ้นไทยจากที่เคยให้ผลตอบแทนเกือบสุดท้ายในปี 2558 กลับให้ผลตอบแทนสูงสุดในปี 2559 ตลาดหุ้นจีนที่ให้ผลตอบแทนเป็นอันดับ 1 มาตั้งแต่ปี 2557 และ 2558 กลับให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในปี 2559 นั่นแสดงว่าไม่มีตลาดใดที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดหรือแย่ที่สุดเสมอไป แต่ผลตอบแทนระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้ แตกต่างกันอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในระยะยาว ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนสามารถแตกต่างกันได้หลายร้อยเปอร์เซนต์ 

ดังนั้น นักลงทุนควรมีการจัดแบ่งสินทรัพย์ออกเป็นส่วนๆ และกระจายการลงทุนไปในหลักทรัพย์หลายประเภท โดยวิธีนี้มีข้อดีคือ เป็นการกระจายความเสี่ยง เนื่องจากสินทรัพย์ไม่กระจุกตัวอยู่ในหลักทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง 

ส่วนข้อด้อยคือ ผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับก็จะอยู่ในระดับปานกลางที่เป็นค่าเฉลี่ยของหลักทรัพย์แต่ละประเภทเช่นกัน แต่หากนักลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้มาก ก็สามารถจัดสรรสินทรัพย์โดยลงทุนกระจุกตัวในหลักทรัพย์ หรือกลุ่มหลักทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะมีผลตอบแทนสูงที่สุดในช่วงเวลานั้น และปรับเปลี่ยนสัดส่วนหรือโยกย้ายการลงทุนอย่างรวดเร็วเมื่อการคาดการณ์เปลี่ยนไป ซึ่งการลงทุนวิธีนี้มีข้อดีคือ มีแนวโน้มที่จะได้รับผลตอบแทนสูง แต่ก็เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์มาก มีมุมมองต่อตลาดหุ้น และมีเวลาติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ