วิเคราะห์คำปราศรัยทรัมป์รับตำแหน่ง...หนาว ๆ ร้อน ๆ

วิเคราะห์คำปราศรัยทรัมป์รับตำแหน่ง...หนาว ๆ ร้อน ๆ

ผมฟังคำปราศรัยรับตำแหน่ง ประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ 16 นาที 1,433 คำ

แล้วก็อุทานได้ประโยคเดียวว่า โลกหนาวแน่

เดิมที่ผมคิดว่าคำว่า สงครามการค้า ไม่น่าจะเกิดในยุคสมัยพ้นจาก “สงครามเย็น” มาแล้ว พอพิเคราะห์จากวาทะของผู้นำสหรัฐคนใหม่แล้ว ก็เริ่มจะมีความกังวลว่าอะไรๆ ที่คาดไม่ถึงกำลังจะกลายเป็นเรื่องที่ ใครว่าเป็นไปไม่ได้

ทรัมป์ในวันแรกที่ก้าวเข้าทำเนียบขาว ก็ยังเป็นทรัมป์ช่วงหาเสียงปลุกระดมคนผิวขาว ชนชั้นทำงานก็ยังไม่พ้นวาทะดุดัน กร้าว และไม่สนใจว่าคนที่คัดค้านต่อต้านเขามีเกือบครึ่งค่อนประเทศที่ไม่ยอมรับจุดยืนของเขาในเรื่องสำคัญๆ ต่อประเทศและประชาคมโลก

“From today forward, it will be only America First…”

คำวลีนี้ทรัมป์ตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกในคำประกาศจุดยืนของตัวเอง เน้นว่าจากนี้ไปแนวทางเดียวของเขา คือผลประโยชน์ของสหรัฐต้องมาก่อนอะไรทั้งหมด

มิหนำซ้ำยังยืนยันว่าประเทศอื่นที่ไม่เดินตามแนวทางของเขา จะโดนมาตรการปกป้องตนเองของสหรัฐในทุกรูปแบบ เป้าหมายหลักในเอเชียของทรัมป์คือ จีนที่เขาอ้างว่าเป็นประเทศที่แย่งงานและโอกาสเศรษฐกิจของสหรัฐ และจะต้องเจอกับการตอบโต้ทางวอชิงตันทั้งด้านภาษีและกฎหมายทุกด้านที่จะ ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

วิเคราะห์เนื้อหาของคำปราศรัยทรัมป์แล้วจะเห็นชัดว่านี่คือการหวนคืนของระบอบ “กีดกันการค้า” หรือ protectionism ผสมกับยาแรง “ชาตินิยม” หรือ nationalism ที่กลายพันธุ์ออกเป็น “ประชานิยม” หรือ populism ที่ยืนอยู่คนละข้างกับแนวทางการเปิดกว้างเพื่อสร้างเครือข่ายการค้าเสรี ลดอุปสรรคขัดขวางการไหลเทของเงินทุนและการค้าขายที่มาในรูปของ “โลกาภิวัตน์” หรือ globalization

ทรัมป์ไม่พูดถึงนโยบายต่างประเทศของสหรัฐ ที่จะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประเทศที่มีอุดมการณ์ร่วม ไม่เอ่ยอ้างถึง ค่านิยมหลัก เรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนหรือความหลากหลายแห่งวัฒนธรรมที่ควรจะเป็น ค่านิยมสากล เลย

สำหรับบางประเทศที่เคยถูกรัฐบาลสหรัฐก่อนหน้านี้กดดันเรื่องค่านิยมประชาธิปไตย นโยบายของทรัมป์อาจมองได้ว่าผ่อนคลายความเข้มข้นของการกดดันเรื่องนี้จากทรัมป์

เพราะทรัมป์บอกว่าจะไม่บังคับให้ประเทศอื่น ต้องทำตามความเชื่อเรื่องเหล่านี้ของสหรัฐ แต่เขาจะทำให้สหรัฐเป็น ตัวอย่างที่ดี (“We will shine…so that other countries can follow our example…”) ให้ประเทศอื่นเดินตามเท่านั้น

ทรัมป์ย้ำด้วยว่าจะระดมพันธมิตรเพื่อปราบกลุ่มก่อการร้ายไอซินให้สิ้นซาก ให้สลายหายไปจากผืนแผ่นดินโลก (“we will wipe them out from the surface of this earth”) แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำอย่างไร และจะสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาติอื่นในเรื่องนี้ได้อย่างไร ขณะที่อีกด้านหนึ่งเขาบอกว่าจะล้มเลิกหรือทบทวนกลไกความร่วมมือทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและความมั่นคงที่เคยมีมาช้านาน

มีคนเริ่มหวั่นด้วยซ้ำไปว่าเมื่อทรัมป์ประกาศ จะจัดการกับกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างนี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ ในจุดต่างๆ ของโลกเพื่อก่อกวนและทำร้ายคนอเมริกา และคนที่มีความเกี่ยวโยงกับอเมริกันอย่างต่อเนื่องด้วยซ้ำไป

ดูจากการเดินขบวนประท้วงทรัมป์ทั้งที่วอชิงตัน บอสตัน แคลิฟอร์เนีย ลอนดอนและเมืองใหญ่อื่นๆ ของโลกแล้วก็ชัดเจนว่าความขัดแย้งระหว่างผู้นำสหรัฐคนใหม่กับผู้คนในวงการต่างๆ ที่ไม่ยอมรับเขาจะรุนแรงและหนักหน่วงต่อเนื่อง จนเขาอาจไม่สามารถบริหารประเทศหรือดำเนินนโยบายการเมือง และความมั่นคงระหว่างประเทศได้อย่างที่เขาประกาศไว้เลย

ประเด็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนอันเกิดจากธุรกิจส่วนตัวของเขา ในหลายร้อยบริษัทที่เพียงโอนไปให้บริษัทของลูกหลาน (แต่ไม่ย้ายไปใน blind trust ที่แสดงถึงความโปร่งใส) และการที่เขายังไม่ยอมเปิดเผยรายละเอียดการเสียภาษีส่วนตัวของเขา อีกทั้งประวัติอันน่าคลางแคลงของรัฐมนตรีหลายคนล้วนแล้วแต่เป็นเหตุที่อาจจะทำให้เขาถูกไต่สวนเพื่อถอดถอนหรือ impeachment โดยรัฐสภาได้ทั้งสิ้น

ถูกต้องแล้วที่รองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์จะเรียกประชุมใหญ่ทูตพาณิชย์ไทยจากทั่วโลก 47 แห่งในเดือนหน้าเพื่อประเมินผลกระทบ ของนโยบายทรัมป์ต่อไทยในด้านการค้าการลงทุน

แต่คลื่นความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายทรัมป์นั้น กว้างขวางและรุนแรงกว่าเพียงแค่เรื่องส่งออกเท่านั้น หากแต่ยังกินความไปถึงเรื่องการเมือง การทูต ความมั่นคงและความสัมพันธ์ขั้นพื้นฐาน ของสหรัฐต่ออาเซียนและประเทศไทยด้วยอย่างปฏิเสธไม่ได้

รัฐบาลไทย นักธุรกิจไทย นักวิชาการและภาคประชาสังคมไทยจะต้องระดมสรรพกำลังความคิด ที่จะนำเสนอทิศทางของการปรับตัวของนโยบายไทยต่อสหรัฐอย่างมีนัยสำคัญเพราะนั่นย่อมหมายถึงการปรับตัวของไทยต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นจีน สหภาพยุโรป (หลังอังกฤษสละเรือเพราะ Brexit) ญี่ปุ่น อินเดียและส่วนอื่นๆ ของโลกด้วย

เพราะเมื่อทรัมป์ครองอำนาจในทำเนียบขาว จะไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป