ตลาดหุ้นไทยยังเป็น sideways อยู่หรือไม่?

ตลาดหุ้นไทยยังเป็น sideways อยู่หรือไม่?

นักลงทุนควรจับตามองสถานการณ์ในปี 2560 อย่างใกล้ชิด และเตรียมปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับอนาคต

เมื่อวันเสาร์ที่ 21 ม.ค. ที่ผ่านมา ผมได้จัดบรรยายพิเศษในหัวข้อ 'ลงทุนอย่าง VI ในตลาด Sideways' โดยมีนักลงทุนผู้ติดตามกลุ่ม Club VI หลายท่าน ให้เกียรติเข้าร่วมฟังและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน

เนื้อหาส่วนหนึ่งของการบรรยาย ผมได้กล่าวถึง SET Index ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาว่า มีลักษณะ 'ขึ้นๆ ลงๆ' ไม่ไปไหน หรือที่เรียกกันว่า 'sideways' โดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ประมาณ 1,200 จุด ในไตรมาส 2 ปี 2555 ก่อนจะพุ่งทะลุ 1,600 จุด ในปี 2556 และกลับลงมาแถวๆ 1,200 จุด อีกครั้ง ในเดือน ม.ค. ปี 2559

แต่แล้ว ในปี 59 นี้เอง ตลาดหลักทรัพย์แห่งสยามประเทศที่หลายคนมองว่า 'นิ่ง' ไปแล้ว กลับกลายเป็น 'กระทิงดุ' ขึ้นมาอีกครั้ง โดยวิ่งห้อตะบึงจากราวๆ 1,200 จุดช่วงต้นปี มาจบปีที่ 1542.94 จุด บวกขึ้นมาเกือบ 20%!!

คำถามคือ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ตลาดหุ้นบ้านเรายังเรียกว่าเป็น sideways ได้อีกหรือไม่?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมขอยกแนวคิดจากหนังสือ 'ลงทุนอย่าง VI ในตลาด Sideways' ของ วิตัลลีย์ แคตเซเนลสัน ที่ตัวผมเองเป็นผู้แปลมาอธิบาย โดยผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ชี้ชัดว่า ไม่ว่าจะเป็นตลาดหมี กระทิง หรือ sideways หากภาวะดังกล่าวดำรงอยู่ไม่ถึง 'ห้าปี' จะถือเป็นเพียงตลาด 'วัฏจักร' (cyclical) คือคงอยู่ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็จบลง

ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยระหว่างปี 2555-59 ซึ่งกินเวลาเกือบๆ สี่ปี แม้จะเป็น sideways แต่ก็เป็น 'sideways วัฏจักร' ยังไม่ใช่ 'sideways ระยะยาว' และอาจยุติลงไปแล้วก็เป็นได้

หากเป็นเช่นนั้นจริง การออกจากตลาดหุ้นไทยไปลงทุนหุ้นประเทศอื่นแบบเต็มตัว เช่น เวียดนาม ย่อมไม่ใช่ไอเดียที่ดีนัก

อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าการที่ดัชนีมาวิ่งเอาๆ ในปี 2559 ยังไม่เพียงพอที่จะสรุปว่า หุ้นไทยพ้นจากภาวะ sideways เข้าสู่ตลาดกระทิง แต่ต้องรอดูสิ่งที่จะเกิดขึ้นในปี 2560 เป็นสำคัญ หากปีนี้ยังขึ้นเหมือนปีที่แล้ว ก็ฟันธงได้เลยว่า เราหลุดพ้นจากภาวะ sideways โดยสมบูรณ์

แต่หากจับพลัดจับผลู ดัชนีร่วงลงไปต่ำกว่าเดิม ก็ต้องขอชี้ชัดว่า SET Index ได้เข้าสู่ภาวะ sideways แบบเต็มตัว และเป็น sideways ระยะยาว ซึ่งไม่แน่ว่าอาจยืดเยื้อต่อเนื่องไปอีกนานก็เป็นได้

เมื่อรู้อย่างน้ีแล้ว พวกเรานักลงทุนจึงควรจับตามองสถานการณ์ในปี 2560 อย่างใกล้ชิด และเตรียมปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับอนาคตที่จะเป็นไป เพราะนี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญแห่งความหวังในการลงทุนของเรา ต้องคิด ต้องตัดสินใจกันให้ดีๆ นะครับ