คลื่นที่ 2 สัมพันธ์ลาว-ไทยกับ '3 เปิด' ของนายกฯ ทองลุน

คลื่นที่ 2 สัมพันธ์ลาว-ไทยกับ '3 เปิด' ของนายกฯ ทองลุน

ผมเพิ่งกลับจากกรุงเวียงจันทน์ เมื่อดึกวันจันทร์หลังจากได้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรี สปป. ลาว

 ท่าน “ทองลุน สีสุลิด” ที่ “เปิดใจ” ถึงการนำพาประเทศไปสู่เป้าหมายของความ “ยืนยง-สีเขียว” เพื่อให้ประชาชนมีความผาสุกทั้งด้านวัตถุและจิตใจไปพร้อม ๆ กัน

คณะนักธุรกิจระดับนำจากประเทศไทย 164 คนนำโดยอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอาสา สารสิน ไป สปป. ลาวครั้งนี้ถือเป็นคณะใหญ่ที่สุด และมีผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงธุรกิจมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน “คลื่นที่สอง” อย่างมีพลัง

นายกฯทองลุน ให้เกียรติและเป็นกันเองกับคณะนักธุรกิจไทยเป็นอย่างมาก ประกาศกลางเวทีวันเปิดการ Lao-Thai Business Forum 2017 ว่าลาวและไทยมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมายาวนาน และจะยิ่งผูกพันกันอย่างเหนียวแน่นมากขึ้นเพราะผู้นำ, ภาคเอกชนและประชาชนของสองฝั่งแม่น้ำโขง เห็นประโยชน์ร่วมกันของการสานต่อความใกล้ชิดในทุก ๆ ด้าน

นอกจากนายกฯจะมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว รัฐมนตรีหลายท่านที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและพลังงาน ก็มาร่วมตั้งวงรับประทานอาหาร และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างใกล้ชิดสนิทสนม

นายกฯทองลุยตอกย้ำถึง “3 เปิด” ในการเดินหน้าให้การพัฒนาความสัมพันธ์อย่างจริงจังคือ

เปิดประตู

เปิดอุปสรรคและสิ่งกีดขวาง

เปิดใจ

เป็น “วลีเด็ด” ที่ทำให้เห็นภาพชัดเจนว่าก้าวต่อไปของสองประเทศจะต้องย้ำการ “เปิดกว้าง” ในทุก ๆ ด้านเพื่อก้าวไปสู่การสร้างผลงานอย่างเป็นรูปธรรม ขจัดปัญหาและอุปสรรคอย่างตรงไปตรงมา

ท่านเน้นว่าเปิดอะไรไม่สำคัญเท่ากับ “เปิดใจ” อันหมายถึงการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างกว้างขวาง, ตรงไปตรงมา เพราะความเป็นเพื่อนบ้านกันย่อมหนีไม่พ้น “การกระทบกระแทก” เหมือนลิ้นกับฟัน แต่หากมีการพูดคุยกันอย่าง “เปิดใจ” แล้ว, อุปสรรคทุกอย่างย่อมได้รับการแก้ไขได้

นายกฯ สปป.ลาวย้ำถึง “ยุทธศาสตร์ 2030” ของประเทศซึ่งมีเป้าหมายชัดเจน ในการยกระดับจากประเทศด้อยพัฒนา เป็นประเทศกำลังพัฒนาเพื่อก้าวต่อไป เป็นประเทศที่พ้นจากระดับรายได้ปานกลางในอนาคต

โดยปรับแนวทางปฏิบัติให้เป็นทั้ง “ทางกว้างและทางลึก” เน้นการเป็นเศรษฐกิจยั่งยืนและเป็นมิตรกับธรรมชาติ รักษาป่าไม้โดยมีเป้าไม่ต่ำกว่า 65% ของพื้นที่ประเทศทั้งหมด

กฎหมายส่งเสริมการลงทุนฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่ เพิ่มมาตรการจูงใจให้กับนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาพัฒนาธุรกิจในด้านที่ สปป. ลาวต้องการ และเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขอรับการส่งเสริม เพื่อนำไปสูงการดำเนินกิจการได้อย่างรวดเร็วผ่าน one-stop service

คณะนักธุรกิจไทยตอกย้ำความพร้อม ที่จะขยายการค้าและการลงทุนใน สปป. ลาวเพราะเห็นศักยภาพที่ยังสามารถพัฒนาได้อย่างกว้างขวางลุ่มลึก เน้นไม่เพียงแต่ win-win เท่านั้น แต่ต้องเป็น all-win อันแปลว่าผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดต้องได้ประโยชน์ร่วมกัน

นักธุรกิจชั้นนำของไทยในคณะ เช่น คุณบุญยสิทธิ์ โชควัฒนา แห่งเครือสหพัฒน์, อดีตรัฐมนตรีคลัง ดร.ทนง พิทยะ (มาในฐานะประธานบริษัท Xayaburi Power Company ในเครือ ช. การช่าง), คุณชาติศิริ โสภณพณิช แห่งธนาคารกรุงเทพฯ, คุณอิสระ ว่องกุศลกิจประธานสภาหอการค้า (ในฐานะประธานเครือมิตรผล), คุณวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานกลุ่มอมตะ, คุณสมบัติ พานิชชีวะ, อีกทั้งผู้บริหารระดับสูงจาก SCG, ปตท., ซีพี, ไทยเบฟ, ผาแดงอินดัสทรี, บ้านปู, ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์, ปัญจพลไฟเบอร์คอนเทนเนอร์ รวมไปถึงประธานและกรรมการหอการค้าอุดรธานีและหนองคาย ต่างก็ยืนยันในความพร้อมที่จะเดินหน้าสานงานให้บรรลุเป้าหมายร่วมกันให้จงได้

คุณอาสาขึ้นเวทีแสดงความมั่นใจว่าก้าวต่อไปของสองประเทศ จะเป็นก้าวประวัติศาสตร์…ประเทศไทยเคยเป็นประเทศลงทุนอันดับหนึ่งใน สปป. ลาวในอดีต ต่อมาประเทศจีนเข้ามาแซงขึ้นเป็นเบอร์หนึ่ง และในห้าปีที่ผ่านมา เวียดนามวิ่งตัดหน้าไทยขึ้นเป็นอันดับสอง ไทยเราถูกเลื่อนลงมาอันดับสาม

“คลื่นที่สอง” ของนักธุรกิจและนักลงทุนไทยรอบนี้ จะผลักดันให้ไทยกลับขึ้นมาเป็นอย่างน้อยอันดับสองให้ได้ในเร็ววัน

คุณอาสาเล่าให้ที่ประชุมฟังว่า เมื่อครั้งท่านยังเป็นข้าราชการหนุ่ม ติดตามรัฐมนตรีต่างประเทศ จรูญพันธ์ อิสรางกูล ณ อยุธยา มาพบกับ นายกฯ พูน ศรีปะเสิด ของ สปป. ลาว ท่านกำลังจดบันทึกการแลกเปลี่ยนความเห็นอยู่ ท่านผู้นำลาวได้กล่าวประโยคที่ทำให้คุณอาสาต้องหยุดชะงัก เพราะความประทับใจในความลุ่มลึกของความรู้สึกของผู้นำลาว

ประโยคนั้นคือ

ความสัมพันธ์ลาวกับไทยเป็นเหมือนสายน้ำในแม่น้ำโขง... จะเอามีดมาตัดอย่างไรก็ไม่ขาด”