โลกใหม่ไม่น่ากลัว ถ้าเราช่วยกัน

โลกใหม่ไม่น่ากลัว ถ้าเราช่วยกัน

เมื่อโลกใหม่ไม่เหมือนเดิม เมื่อโลกเสมือนเข้ามาแทนที่ เมื่อทุกสิ่งรอบตัวเชื่อมด้วยไอโอที (Internet of Thing- IoT)

เมื่อนั้นทุกคนไม่มีโลกส่วนตัว

 นี่คือปรากฏการณ์ที่เริ่มต้นขึ้นแล้ว ในขณะที่เทคโนโลยีแทรกซึมเข้ามาในทุกขณะจิตของการใช้ชีวิต อุปกรณ์รอบข้างในบ้านเรือน สำนักงาน และสถานที่ต่างๆจะฝังไว้ด้วยเทคโนยีที่สามารถเชื่อมต่อกันได้ (Everything connected) ตั้งแต่เกิดจนตายทุกคนจะมีอุปกรณ์คู่กายติดตัวไปด้วยทุกหนแห่ง ปัจจุบันอาจจะเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่แสนฉลาด (Smart phone) ที่มีรูปร่างหน้าตาสี่เหลี่ยม หน้าจอสัมผัส เข้ารหัสด้วยการสแกนนิ้วมือ จนค่อยๆเปลี่ยนรูปแปลงร่างเป็นอุปกรณ์สวมใส่ตามร่างกาย และกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายไปในที่สุด ด้วยวัสดุที่มีความบางและยืดหยุ่นกลมกลืนเข้ากับผิวหนังของมุนษย์

 เมื่อจินตนาการต่อไปในอนาคต เราก็จะเห็นคนทำตัวเข้าใกล้ความเป็นหุ่นยนต์มากขึ้น ในขณะที่นักวิจัยด้านหุ่นยนต์ (Robot) และปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) ก็พัฒนาความสามารถของหุ่นยนต์ให้ใกล้เคียงความเป็นมุนษย์มากขึ้นทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่สรีระรูปร่างทางกายภาพเท่านั้น หากแต่อาจพัฒนาความรู้สึกนึกคิดด้วยก็เป็นไปได้ เมื่อศาสตร์ด้านสมองของคนเริ่มกระจ่างชัดและนำมาใช้สั่งการได้ไม่ต่างจากการใช้เสียงและการแสดงออกทางท่าทางที่ทำได้ดีอยู่แล้วในปัจจุบัน นั่นหมายความว่าคนกับคนจะคุยกันได้เพียงมองตา โดยไม่ต้องส่งภาษากายหรือคำพูดเสียด้วยซ้ำ หุ่นยนต์กับคนจะอยู่ร่วมด้วยกัน ลองนึกถึงสังคมผู้สูงวัยที่คนหนุ่มสาวออกไปทำงาน เด็กออกไปโรงเรียน คนแก่อยู่ในบ้านบนรถเข็นหรือบนเตียง โดยมีหุ่นยนต์และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆคอยสอดส่องดูแล และส่งสัญญาณเชื่อมต่อไปยังโรงพยาบาล สถานีตำรวจ สถานีดับเพลิง และอื่นๆที่พร้อมจะเข้ามาช่วยเหลือได้โดยด่วน

 ในทางเศรษฐกิจการค้าและการแข่งขัน มีความเข้มข้นรุนแรง และล้มหายตายจากกันได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น เพียงธุรกิจของเราไม่ขยับตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงรอบข้าง ก็เท่ากับธุรกิจเราตายไปแล้วครึ่งตัว นี่อาจจะเป็นจริงและแจ่มชัดขึ้นทุกวัน ธุรกิจใดที่เคยใหญ่และเคยเป็นช่องทางหลัก บัดนี้ได้กลับขั้วเปลี่ยนข้างจนถึงขั้นต้องล้มหายตายจากกันไปมากแล้ว

 ธุรกิจสื่อที่เคยยึดครองโดยเจ้าของช่องทางหลักในรูปแบบเดิม ไม่ว่าจะเป็นสื่อกระดาษ สื่อสารสัญญาณผ่านคลื่น หรือสื่อสารสัญญาณผ่านดาวเทียม ที่ผู้ผลิตเนื้อหาสาระจะต้องง้อและแย่งชิงพื้นที่ในการเข้าถึงผู้คนจำนวนมาก ในยุคดิจิตัลนี้ได้กลับด้านของพลังอำนาจมาอยู่ที่ผู้ผลิตเนื้อหา โดยมีช่องทางหลากหลาย เปิดเสรี และกว้างขวางมากขึ้น (Open communication Open platform) ทุกคนมีช่องของตัวเอง ใครใคร่สื่อสารเรื่องราวอะไรก็ทำได้โดยไม่ยาก หากแต่ว่าจะถูกใจคนจำนวนมากพอหรือไม่ ขึ้นกับความคิดและการออกแบบของแต่ละคน ว่าจะตอบโจทย์ตรงใจและให้คุณค่าที่ดีมากพอกับกลุ่มคนเล็กๆของตนเองหรือไม่

 ธุรกิจหลักเดิมในยุคเก่า ต้องกลับขั้วความคิดเปลี่ยนทิศทางการส่งมอบ และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยให้เกิดประโยชน์สูงสุด องค์กรใหญ่ที่อุ้ยอ้ายและมีโครงสร้างระดับชั้นที่เยอะ ต้องแตกตัวเป็นองค์กรเล็กที่สามารถบริหารจัดการเรื่องเฉพาะได้อย่างกระชับและรวดเร็วมากขึ้น สินค้าและบริการที่แต่เดิมจะลงทุนขนานใหญ่ไปกับการจัดตั้งธุรกิจและสาขาหลัก เพื่อให้กระจายตัวครอบคลุมพื้นที่หลัก และให้ลูกค้าวิ่งเข้ามาเพื่อเลือกซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ก็จะเปลี่ยนไปลงทุนในช่องทางออนไลน์และวิ่งเข้าไปหาลูกค้าให้มากที่สุด ง่ายที่สุด จนตอนนี้มีธุรกิจน้อยมากที่ลูกค้ายังต้องวิ่งเข้าหา เพราะทุกคนสามารถจะพิจารณาข้อมูล เลือกซื้อสินค้าหรือใช้บริการได้โดยไม่ต้องออกไปไกลจากสถานที่ตั้งของเราเอง

 แต่หลักเศรษฐศาสตร์หนึ่งก็ยังเป็นจริงอยู่เสมอ อะไรที่หายาก ขาดแคลน มีน้อย ทำได้ยาก และลอกเลียนแบบไม่ได้ จะมีคุณค่าและราคาแพง นั่นหมายความว่าอะไรที่หาได้ง่าย มีจำนวนมาก ทำได้โดยง่าย และใครๆก็ทำได้ด้วยความรู้ เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมามากมายให้เลือกสรร ก็จะมีคุณค่าและราคาถูกลง

 ลองนึกดูว่าอะไรที่เข้าข่ายและจะกลายเป็นของหายากต่อไปในอนาคต ธรรมชาติที่งดงาม บรรยากาศที่ดี สังคมที่เอื้ออาทร และจริยธรรมของคน ที่เป็นอีกด้านหนึ่งซึ่งกำลังเสื่อมถอยด้อยลงจากค่านิยม ความคิด ความเชื่อ และไลฟ์สไตล์จากความเร่งรีบในการใช้ชีวิต สิ่งเหล่านี้ล้วนสวนทางกับการก้าวล้ำนำหน้าไปของความทันสมัย แต่กระนั้นก็คงไม่มีใครหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ หากแต่ต้องช่วยกันตั้งแต่วันนี้ สร้างความสมดุลอีกด้านเพื่อคัดง้างกับความเจริญก้าวหน้าของโลก

 นักวิจัย นักคิด นักประดิษฐ์ และนวัตกรที่ช่วยกันพัฒนาและสร้างความก้าวหน้าให้กับโลกนี้ จะต้องไม่สร้างอะไรที่มีผลเพียงด้านเดียว แต่ส่งผลกระทบในทางลบกับอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นต้องช่วยกันส่งเสริมพัฒนาเทคโนโลยีที่จะทำให้ธรรมชาติสามารถพลิกฟื้นคืนกลับมา ไม่สร้างผลกระทบทางลบและมลพิษกับสิ่งแวดล้อม ผู้คนเห็นประโยชน์ของส่วนรวมมาก่อนส่วนตน และมีค่านิยมใหม่ที่รู้จักพอ ไม่สะสม มีมากก็แบ่งปัน มีน้อยก็ใช้อย่างพอดี คิดถึงความคุ้มค่า ใช้สิ่งต่างๆให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยไม่ปล่อยให้เกิดความสูญเปล่าสิ้นเปลือง

 ในปีใหม่นี้เรามาเริ่มต้นสร้างความสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัว และชีวิตการทำงาน ตลอดจนการทำธุรกิจของทุกคนจงตั้งมั่นกับการทำสิ่งดีๆให้กับสังคมและส่วนรวม มีความรับผิดชอบต่อลูกค้าที่เลือกซื้อสินค้าและบริการของเรากันเถอะครับ โลกในยุคใหม่เราจะมีความน่าอยู่และยั่งยืนต่อไปได้อีกยาวนาน แม้ว่าคอลัมน์นี้จะพูดถึงเรื่องธุรกิจกับการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็จะขอผนวกด้วยสำนึกที่ดีต่อสังคมควบคู่กันไป