เรียนรู้จากศรีไทยซุปเปอร์แวร์กับการลงทุนในแดนภารตะ

เรียนรู้จากศรีไทยซุปเปอร์แวร์กับการลงทุนในแดนภารตะ

หากคิดจะไปลงทุนต่างประเทศแล้ว นักลงทุนจะต้องทำการบ้านและเตรียมความพร้อม

ด้านข้อมูลอย่างถี่ถ้วน เพราะการลงทุนต่างบ้านต่างเมืองมักมีความเสี่ยงหลายปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจอาจต้องขาดทุน และกว่าจะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ อาจมีเหตุให้ต้องพับเสื่อกลับบ้านเสียก่อน และหากยิ่งเป็นประเทศที่คนไทย “กลัว” เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งทำให้นักธุรกิจไทยไม่กล้าเสี่ยงที่จะไปลงทุน

อย่างไรก็ดี ความกลัวดังกล่าว กลับเป็นอุปสรรคหลักที่บดบัง “โอกาส” ที่ซ่อนอยู่ หากโฟกัสที่ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่นักลงทุนไทยมักมองข้ามแล้ว ศักยภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียในช่วง 2-3 ปีทีผ่านมา ถือว่าเติบโตอย่างก้าวกระโดด ปีที่แล้วจีดีพีของอินเดียเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 7.6 และประชากรเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนน่าจะแตะ 1.3 พันล้านคนเร็วๆ นี้ นอกจากนั้น ยังมีประชากรที่มีรายได้สูงกว่า 300 ล้านคน เหล่านี้ล้วนหนุนให้อินเดียเป็นประเทศเนื้อหอมที่บริษัทข้ามชาติต่างเริ่มศึกษาตลาดอย่างจริงจัง และเริ่มเข้ามาลงทุนสร้างฐานการผลิตในอินเดียเพิ่มขึ้น

ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ เป็นหนึ่งในบริษัทไทยใจกล้าที่เห็นโอกาสในอินเดีย โดยบริษัทฯ ได้สร้างโรงงานบนที่ดินขนาด 28,250 ตารางเมตร ในเขตนิคมอุตสาหกรรมแห่งเมือง Sanand รัฐคุชราต (Sanand - Gujarat Industrial Development Corporation หรือ Sanand - GIDC) อยู่ห่างจากเมือง อัมห์ดาบาด (Ahmedabad) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจแห่งรัฐคุชราตประมาณ 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้ GIDC เป็นหน่วยงานที่รัฐคุชราตจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นจุดบริการให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศติดต่อขอรับการจัดสรรพื้นที่สร้างโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมทั่วรัฐคุชราต ปัจจุบัน GIDC ได้พัฒนาที่ดินเป็นนิคมอุตสาหกรรมแล้ว 202 นิคมอุตสาหกรรม สำหรับนิคมแห่งเมือง Sanand นั้น ได้เวรคืนพื้นที่จำนวน 5,100 ไร่ และเปิดเช่าพื้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2556

ปัจจุบัน นอกจากโรงงานของ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด ที่ตั้งอยู่ ในนิคมแห่งเมือง Sanand แล้ว ยังมีบริษัทชั้นนำของอินเดียและต่างชาติสนใจเข้ามาสร้างโรงงาน อาทิ TATA Motors, Ford, Coca Cola, Nivea, และ BOSCH

เกี่ยวกับความเป็นมาของ บริษัท ศรีไทยฯ ในอินเดีย ก่อนที่จะตัดสินใจสร้างโรงงาน บริษัทฯได้ส่งออกสินค้าประเภทเครื่องครัวเมลามีนภายใต้ยี่ห้อ Superware ผ่านผู้นำเข้าที่เป็นผู้แทนจำหน่ายในอินเดียมาอย่างยาวนาน และด้วยคุณภาพของสินค้าที่มีมาตรฐานสูงหากเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ทำให้เครื่องครัวเมลามีนของศรีไทยฯ ติดตลาดและเป็นที่นิยมของคนอินเดียอย่างกว้างขวาง

โรงงานแห่งนี้ได้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2558 จากในช่วงเริ่มต้นที่มีกำลังผลิตเพียง 744 ตันต่อปี ได้เพิ่มเป็น 1,488 ตันต่อปี และมีตัวแทนจำหน่ายแล้วใน 10 รัฐทั่วประเทศ โดยมีแผนจะแต่งตั้งเพิ่มเติมในอีก 5 รัฐ ทั้งนี้ ผงเมลามีน ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตยังคงต้องนำเข้าจากไทย เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ตามมาตรฐานของศรีไทยฯ

การมีโรงงานผลิตและมีทีมการตลาดและการขายเองในอินเดียช่วยให้บริษัทฯ สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรสนิยมของผู้บริโภคได้โดยตรง ซึ่งประเทศกว้างใหญ่อย่างอินเดียย่อมมีวัฒนธรรม การใช้เครื่องครัวที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐแต่ละภาค บริษัทฯ จึงได้ปรับรูปแบบและดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับรสนิยมการบริโภค ส่งผลสินค้าเป็นที่ยอมรับของคนท้องถิ่นเพิ่มขึ้น

การเข้ามาลงทุนในประเทศปราบเซียนอย่างอินเดีย แน่นอนว่าศรีไทยฯ ต้องเผชิญกับความ ท้าทายในการทำธุรกิจ เช่น อัตราการหมุนเวียนพนักงาน (Turnover rate) ของแรงงานท้องถิ่นที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมและภาษา ซึ่งทางออกของบริษัทฯ คือ การรับสมัครคัดเลือกบัณฑิตวิศวกรใหม่สาขาพลาสติกจากสถาบันชั้นนำของอินเดีย เพื่อเข้ารับการฝึกฝนอบรมแบบIntensive ทางภาคปฏิบัติและทักษะการทำงานจากช่างเทคนิคไทยโดยตรง และเข้าร่วมงานกับบริษัทฯ ในตำแหน่งหัวหน้างานหลังผ่านการฝึกอบรมอย่างเข้มข้นแล้ว ซึ่งพนักงานเหล่านี้เป็นกำลังสำคัญในการดูแล ควบคุม และฝึกฝนแรงงานท้องถิ่นให้ผลิตสินค้าได้คุณภาพตามมาตรฐานของบริษัทฯ ต่อไป

อีกหนึ่งความท้าทาย คือ ระบบการเก็บภาษีของอินเดียที่มีความซับซ้อนและยุ่งยากไม่แพ้ชาติใดในโลก ซึ่งปัจจุบันอินเดียแบ่งกันเก็บภาษีระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น โดยภาษีที่รัฐบาลกลางจัดเก็บ เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีทรัพย์สิน ภาษีกำไรจากส่วนทุนเป็นต้น ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีฟุ่มเฟือย เป็นต้น อยางไรก็ดี เพื่อลดปัญหาดังกล่าว ล่าสุด รัฐบาลอินเดียได้ผ่านกฎหมายจัดเก็บภาษีสินค้าและบริการ (Goods and Services Tax หรือ ภาษี GST) เพื่อให้มีการเก็บภาษี GST ในอัตราเดียวกันทั้งประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประกาศใช้ภาษี GST ในปี 2560

บ. ศรีไทยฯ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของบริษัทไทยที่สามารถก้าวข้ามความ “กลัว” และกำลังไต่ระดับสู่การเป็นผู้นำด้านเครื่องครัวเมลามีนในอินเดีย ทั้งนี้ การลงทุนในอินเดียมีความท้าทายให้ภาคเอกชนทดสอบฝีมืออยู่ตลอดเวลา แต่หากนักลงทุนไทย เปิดใจและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนอย่างจริงจัง ความสำเร็จในการบุกตลาดอินเดียก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และสามารถเกิดขึ้นได้จริง