ตลาดหุ้นกับการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในอดีต

ตลาดหุ้นกับการรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในอดีต

เมื่อปลายปีที่แล้ว CNBC รวบรวมสถิติในอดีตเกี่ยวกับการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ

สหรัฐกับการปรับตัวของตลาดหุ้นสหรัฐได้แก่ S&P 500 ซึ่งสรุปได้ดังตาราง

ก่อนจะกล่าวถึงรายละเอียดจากตารางข้างต้น ผมขอย้ำว่าเป็นข้อมูลในอดีตที่เราอาจคาดหวังว่าจะช่วยทำนายอนาคตได้ แต่ก็อาจผิดพลาดได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรพิจารณาข้อมูลอย่างรอบคอบก่อนนำไปใช้ในการตัดสินใจลงทุนและขอให้ทุกท่านโชคดีในปี 2017 ครับ

บทวิเคราะห์ของ CNBC สรุปในเชิงลบว่าการเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายทรัมป์เป็นสมัยแรกในวันที่ 20 มกราคมนี้ หากพิจารณาจากข้อมูลย้อนหลังไปกว่า 70 ปีที่ผ่านมา (1945-2016) จะพบว่าในยุคที่ประธานาธิบดีคนใหม่มาจากพรรครีพับลิกันเข้ารับตำแหน่งในสมัยแรกนั้น ในปีแรกที่ดำรงตำแหน่ง (บรรทัดที่ 5) ราคาหุ้น S&P500 จะปรับลดลงเฉลี่ย 2.7% ในปีดังกล่าว โดยโอกาสที่หุ้นในปีนั้นจะปรับตัวขึ้นมีเพียง 20% เท่านั้น ซึ่งเป็นปีที่หุ้นมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในทุกกรณีนำเสนอในตารางและเป็นปีที่ผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนในหุ้นติดลบมากที่สุด (-2.7%) รองลงมาจากการลงทุนในหุ้นในปีที่สองของการเข้ารับตำแหน่งเป็นครั้งแรกของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครท (บรรทัดที่ 2) ซึ่งเฉลี่ยราคาหุ้นติดลบ 4.1% ในปีดังกล่าว แต่ก็ยังมีโอกาสที่หุ้นจะปิดบวก 33%

กรณีอื่นๆ ที่น่าสนใจจากสถิติในอดีตมีดังนี้

การลงทุนในหุ้นนั้นถือได้ว่าเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงต่อปีหากลงทุนในระยะยาว กล่าวคือไม่ว่าประธานาธิบดีจะมาจากพรรคใดก็ตาม ราคาหุ้นโดยเฉลี่ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 8.6% และในทุกๆ ปีหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 71% กล่าวคือมีโอกาสได้กำไรเป็นส่วนใหญ่และ แต่ละปีก็ได้กำไรค่อนข้างสูง กล่าวคือสามารถทำให้เงินที่ลงทุนไปนั้นเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว ภายในเวลา 12 ปีและหากนำกำไรกลับเข้าไปลงทุนทุกปี เงินลงทุนก็จะเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัวภายในเวลาต่ำกว่า 10 ปี

การลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงสูงมากกว่าการลงทุนประเภทอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นจึงต้องแสวงหาข้อมูลและความรู้อย่างครบถ้วนก่อนการลงทุน แต่ในกรณีของสหรัฐนั้นจะเห็นได้ว่าการลงทุนในช่วงที่ประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกันปกครองประเทศนั้น ราคาหุ้น S&P 500 จะปรับขึ้นเฉลี่ย 6.3% ต่อปีและมีโอกาสปรับตัวขึ้น 69% (บรรทัดที่ 5) ซึ่งต่ำกว่ากรณีที่ประธานาธิบดีมาจากพรรคเดโมแครทที่ราคาหุ้น S&P ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 10.9% ต่อปีและโอกาสปรับตัวขึ้นมีสูงถึง 72%

ปีที่ น่าลงทุนที่ตามสถิติในอดีตคือในปีที่ 3 และปีที่ 4 ของการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยเฉพาะในปีที่ 3 ซึ่งราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16.1% และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 88% ในปีที่ 4 นั้น ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นน้อยกว่า แต่โอกาสที่หุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจะสูงถึง 76% จากสถิติในอดีตนั้นกรณีที่น่าลงทุนมากที่สุดคือการลงทุนในปีที่ 3 ของประธานาธิบดีที่มาจากพรรครีพับลิกัน ไม่ว่าจะเป็นสมัยแรกหรือสมัยที่สอง เพราะในปีดังกล่าวนั้นลงทุนในหุ้นจะมีกำไรอย่างเดียว ไม่มีขาดทุนเลยในช่วง 71 ปีที่เก็บสถิติจากปี 1945-2016 สำหรับปีที่ 4 นั้นหากลงทุนในยุคประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันครองตำแหน่งเป็นสมัยแรก ก็จะลงทุนแบบไม่ขาดทุนเช่นกันหากดูจากสถิติในอดีตแม้ว่าผลตอบแทนเฉลี่ยจะไม่สูงมากนักคือ 6.6% ในปีดังกล่าว (บรรทัดที่ 5)

“ปีที่น่าลงทุนที่สุด” ดูจากสถิติในอดีต (ซึ่งอาจไม่เป็นเช่นนั้นในอนาคต) คือปีที่ 1 ของสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครท (กำไร 23.6% โดยเฉลี่ยและราคาหุ้นปรับขึ้นทุกครั้ง) และปีที่3 ในสมัยแรกของประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน (กำไร 21.4% และราคาหุ้นปรับขึ้นทุกครั้ง)

หากยึดสถิติในอดีตก็ต้องสรุปว่าการลงทุนในหุ้นสหรัฐในปี 2017 ที่ประธานาธิบดีทรัมเข้ารับตำแหน่งเป็นปีแรกนั้นมีความเสี่ยงสูงสุด แต่จะกลับมาเป็นการลงทุนที่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงสุดในปีที่ 3 คือปี 2019 ครับ