Asia Wealth Corner

Asia Wealth Corner

สรุปภาวะการลงทุนปี 2559 และมุมมอง

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่าน ใกล้จะสิ้นปีแล้วนะครับ หลายท่านคงวางแผนท่องเที่ยวหรือสังสรรค์ช่วงเทศกาลแห่งความสุขที่กำลังจะมาถึง อย่าลืมมาตรการส่งเสริมการใช้จ่ายของภาครัฐที่ออกมาซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศให้คึกคักยิ่งขึ้น แต่ผลที่ได้สำหรับประเทศ ก็คือ กำลังซื้อที่จะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของเราดีขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายได้ นอกจากนั้น ในแง่ของการบริหารความมั่งคั่งเราสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งเป็นสิ่งดีสำหรับหลาย ๆ คนที่วางแผนการใช้จ่ายอยู่แล้ว

วันนี้ผมขอถือโอกาสสรุปภาวะการลงทุนหรือผลตอบแทนจากการลงทุนของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมาเพื่อเป็นการสรุปให้เห็นภาพรวมของการลงทุนทั่วโลก รวมถึงให้มุมมองเบื้องต้นของการลงทุนในปีหน้า เผื่อเป็นแนวทางในการบริหารความมั่งคั่งให้กับท่านผู้อ่านได้

ในปี 2559 นี้ ผลตอบแทนจากการลงทุนโดยรวมถือว่าค่อนข้างดี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย โดยเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนของบรรดาสินทรัพย์เสี่ยง แต่ถ้าเราติดตามอย่างใกล้ชิดจะเห็นว่าผลตอบแทนของปีนี้มีความผันผวนมากอยู่เช่นกัน การเคลื่อนไหวในครึ่งปีแรกกับครึ่งปีหลังอาจจะแตกต่างกันอย่างมากในหลายๆสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยประเภทพันธบัตร หรือทองคำที่ครึ่งปีแรกมีผลตอบแทนที่ดี แต่ในขณะที่ครึ่งปีหลังกลับให้ผลตอบแทนที่น่าผิดหวัง หรือแม้แต่สินทรัพย์เสี่ยงประเภทหุ้นก็มีภาวะที่ไม่ต่างกัน ทั้งนี้เกิดจากปัจจัยใหญ่ๆหลายๆปัจจัยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ BREXIT หรือการคาดการณ์การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นต้น โดยผลตอบแทนของการลงทุนในพันธบัตรโดยเฉพาะในช่วงหลังการเลือกตั้งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สะท้อนความกังวลต่อมาตรการของทรัมป์ที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า ซึ่งส่งผลต่อเนื่องถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะประเทศเกิดใหม่ รวมถึงตราสารหนี้ประเภทไฮยิลด์ ซึ่งเคยเป็นดาวเด่นในช่วงครึ่งปีแรก เรียกว่าถ้าใครตัดสินใจล็อคผลตอบแทนได้ทันท่วงทีก็น่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีจากสินทรัพย์ทั้งสองประเภทนี้

ในขณะที่ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นทั่วโลกวัดจากดัชนี MSCIAC World ให้ผลตอบแทนจากต้นปีอยู่ที่ร้อยละ 6.2 ซึ่งดูเหมือนจะไม่หวือหวาเท่าไหร่ แต่ถ้าเรามาดูไส้ในจะเห็นภาพที่ชัดขึ้น โดยพระเอกของปีนี้กลับมาอยู่ที่หุ้นอเมริกา เช่นถ้าเราดูจากผลตอบแทนจากดัชนี S&P500 จะให้ผลตอบแทนในปีนี้ที่ร้อยละ 10.4 โดยเป็นผลตอบแทนในรอบ 6 เดือนถึงร้อยละ 9.3 และจากผลตอบแทนในรอบ 3 เดือนที่ร้อยละ 6.1 นั่นหมายความว่าผลตอบแทนเกือบร้อยละ 90 มาจากช่วงครึ่งหลังของปี และยิ่งถ้าเราดูไปถึงหุ้นขนาดเล็กจะยิ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยหากวัดจากดัชนี RUSSELL 2000 จะมีผลตอบแทนทั้งปีที่ร้อยละ 20.9 โดยจะเป็นผลตอบแทน 6 เดือนร้อยละ 19.5 (กว่าร้อยละ 93 ของผลตอบแทนทั้งปี) และผลตอบแทน 3 เดือนที่ร้อยละ 15.8 (กว่าร้อยละ 75) นี่ถ้าใครอาจเกมส์ขาดหรือทำการจัดสรรเงินลงทุนได้ดีก็จะสามารถทำกำไรได้ในเวลาแค่ไม่กี่เดือน

แต่ตลาดหุ้นในปีนี้ก็ใช่ว่าจะดีไปทั้งหมดนะครับ ประเทศที่ให้ผลตอบแทนติดลบก็มี เช่น ตลาดหุ้นในกลุ่มยูโร ให้ผลตอบแทนทั้งปีติดลบไปถึงร้อยละ 3.3 แต่ถ้าเป็นผลตอบแทนรอบ 6 เดือนจะมีผลตอบแทนที่เป็นบวกที่ร้อยละ 9.3 เช่นเดียวกับของทางฝั่งอเมริกา โดยแชมเปี้ยนของทางฟากยุโรปกลับกลายเป็นตลาดหุ้นของอังกฤษ ที่มีผลตอบแทนทั้งปีโดยวัดจากดัชนี FTSE 100 อยู่ที่ร้อยละ 10.4 เท่ากับ S&P500 ของอเมริกาเลยที่เดียว โดยเป็นผลตอบแทนรอบ 6 เดือนที่ร้อยละ 15.5 นั้นหมายความว่าก่อน 6 เดือนผลตอบแทนของการลงทุนจะติดลบนั่นเอง เช่นเดียวกับ ญี่ปุ่นที่ได้รับแรงกดดันจากการที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นส่งผลทำให้ผลตอบแทนจากตลาดหุ้นติดลบไปค่อนข้างมาก แต่เมื่อผลการเลือกตั้งทำให้ค่าเงินเยนปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สรอ ตลาดหุ้นก็ขานรับในทิศทางที่ดีขึ้น โดยทั้งปีดัชนี NIKKEI 225 ให้ผลตอบแทนเพียงร้อยละ 0.6 แต่ผลตอบแทนรอบ 6 เดือนอยู่ที่ร้อยละ 20.3

มาดูที่ตลาดหุ้นบ้านเราซึ่งปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ดีสำหรับการลงทุนแม้จะมีข่าวต่างๆเข้ามากดดันอยู่เป็นระยะๆ โดยในปีนี้ผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราวัดจากดัชนี SET จะให้ผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 18.5 โดยผลตอบแทนรอบ 6 เดือนอยู่ที่ร้อยละ 6.4 นั่นแปลว่าผลตอบแทนส่วนใหญ่จะมาจากครึ่งปีแรก ซึ่งภาพจะคล้าย ๆ กับผลตอบแทนของตลาดหุ้นของประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ

สำหรับมุมมองการลงทุนในปีหน้าโดยผลสำรวจจาก BLOOMBERG จะให้ค่าเฉลี่ยกลางของดัชนีปีหน้าที่ระดับ 1,740 จุดหรือวัดเป็นผลตอบแทนที่ร้อยละ 13.7 และถ้าบวกเงินปันผลไปอีกประมาณร้อยละ 3 รวมกันก็จะได้กว่าร้อยละ 16 ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าเราดูที่ระดับดัชนีที่ 1,650 จุด ตามเป้าหมายที่ บล.เอเชีย เวลท์ ให้ไว้ก็จะได้ผลตอบแทนที่ร้อยละ 7.8 ซึ่งถ้ารวมเงินปันผลอีกร้อยละ 3 ก็จะได้ผลตอบแทนโดยรวมที่ร้อยละ 10.9 นั่นก็ถือว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นของไทยในปีหน้าก็ยังคงน่าสนใจลงทุนอยู่

ครับผมก็หวังว่าท่านผู้อ่านคงได้รับข้อมูลไว้ประกอบการตัดสินใจลงทุนไม่ว่าจะเป็นกองทุน LTF หรือเพื่อวางแผนทางการเงินอื่น ๆ นะครับ ท้ายสุดนี้ก็ขอให้ท่านผู้อ่านทุก ๆ ท่านโชคดีกับการลงทุนนะครับ