ระหว่างเมสซีและโรนัลโด : แรงอิจฉาไม่มีวันแห้งหาย

ระหว่างเมสซีและโรนัลโด : แรงอิจฉาไม่มีวันแห้งหาย

เชื่อกันว่าการไม่ยอมก้มหัวหรืออาการไม่ยอมรับซึ่งกันและกันระหว่าง ลิโอเนล เมสซี

 และ คริสเตียโน โรนัลโด เป็นคุณูปการอย่างมากต่อวงการโลกฟุตบอล เพราะเมื่อไม่ยอมรับฝีเท้าของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ย่อมมีแรงขับที่จะต้องทำให้ดีกว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่เสมอจนกว่าจะหมดแรงแขวนสตั๊คไปเลย เมื่อมีแรงจูงใจที่จะต้องเหนือกว่าอีกคนหนึ่ง จึงทุ่มเทพลังโชว์ฝีเท้าอย่างไม่หยุดหย่อน นี่คือสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นระหว่างสองเทพแห่งโลกลูกหนังยุคปัจจุบัน

มีเรื่องเล่าว่า ในช่วงครึ่งแรก (กันยายน-ธันวาคม) ของฤดูกาล 2014-2015 ที่หลุยส์ เอนริเกเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งโค้ชใหญ่ของทีมบาร์เซโลน่า ด้วยภาระกิจอันหนักอึ้งที่ต้องรักษาระดับความยิ่งใหญ่แบบที่เป๊บ กัวร์ดิโอลาได้สร้างไว้ 14 แชมป์นั้น ผลงานถือว่าไม่เลวร้ายเลย สิ้นปี 2014 บาร์เซโลน่ารั้งตำแหน่งอันดับสองของตารางโดยมีรีล แมดริดเป็นจ่าฝูง

หากดูบนหน้าเสื่อแบบผิวเผินแล้ว ไม่มีอะไรเสียหายหรือเป็นเหตุให้ต้องตื่นตระหนกกังวลใจ เพราะยังเหลือเวลาอีกเกือบ 5 เดือน จนกว่าจบฤดูกาล แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว อาจจะค้นพบ “ปีศาจร้าย” แฝงตัวรอกัดกร่อน จนอาจถึงขั้นทำให้อาณาจักรบาร์ซ่าพังทลายได้

เพราะเมื่อเริ่มต้นเปิดศักราชใหม่ปี 2015 ก็ปรากฏข่าวความขัดแย้งร้าวหนักระหว่างโค๊ชใหญ่กับนักเตะที่สำคัญที่สุดในทีมแบบไม่ยอมพูดคุยไม่มองตา จนถึงขั้นมีการยื่นคำขาดต่อสโมสรว่า จะเลือกใครระหว่างโค๊ชหลุยส์ เอนริเกหรือเมสซี แบบมีคนหนึ่งก็ต้องไม่มีอีกคนหนึ่ง

ก่อนที่เรื่องจะเลวร้ายหนักกลายเป็นสนิมเนื้อในตนจนส่งผลกระทบต่อสโมสรมากกว่านี้ กัปตันทีม ซาบี้ เฮอร์นันเดซ ก็เข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยด้วยวิธีที่เรียกว่ารู้จุดอ่อนของ เมสซี เป็นอย่างดี ซาบี้ถามเมสซี แบบตรงๆ กันว่า สิ้นปียังอยาก ยังคิดและยังหวังจะได้รางวัล Ballon d'Or หรือรางวัลโนเบลแห่งวงการฟุตบอลอีกหรือไม่ หรือจะยอมแพ้ยกตำแหน่งนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกให้กับ โรนัลโด ไปครอง

ด้วยคำพูดที่ดูเหมือนจี้ใจดำเช่นนี้ มีหรือที่เมสซีจะยอม ใครจะคิดว่าแรงอิจฉาจะส่งผลทางจิตวิทยาอย่างมหาศาลต่อนักฟุตบอลที่ได้รับคำยกย่องว่าดีที่สุดเท่าที่โลกเคยเห็น?

หลังจากนั้น เมสซี ก็กลายเป็นอีกคนหนึ่ง ยอมสมานฉันท์กับโค้ชหลุยส์ เอนริเกเพราะไม่อาจทนเห็นโรนัลโดเด่นกว่า และทุ่มเทเต็มพลังจนขับรีดฟอร์มเก่งออกมาเป็นเท่าตัว สุดท้ายก็นำพาบาร์เซโลน่าก็เข้าป้ายสู่ตำแหน่งแชมป์ลาลิก้า แชมป์โคปา เดลเรย์ และแชมป์ยูเอฟ่าแชมเปี้ยนลีก เรียกว่าเป็นแชมป์ทั้งในประเทศและแชมป์ยุโรปที่ทรงคุณค่าที่สุด ไม่เหลือแชมป์ใดๆให้คู่รักคู่แค้นอย่างรีล แมดดริดสักถ้วยเลย และที่สำคัญที่สุดหรือจะเรียกว่าสมหวังที่สุดก็คือรางวัล Ballon d'Or ประจำปี 2015 เป็นเครื่องการันตีว่า เมสซี คือหมายเลขหนึ่งของโลกฟุตบอลปัจจุบัน

แน่นอนที่สุดว่า ทั้งเมสซีและโรนัลโด ยังคงต้องแข่งขันซึ่งกันและกัน และไม่มีวันหยุดที่จะยอมรับและยอมแพ้ให้อีกคนหนึ่งเหนือกว่าแบบยกธงขาวอย่างง่ายๆ เพราะตำแหน่งบนยอดเขา “เอฟเวอร์เรสต์” มีที่ว่างเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้นสำหรับกีฬาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกประเภทนี้

เพราะฉะนั้นแล้ว ความสำเร็จของโรนัลโดที่สามารถนำพาทีมชาติโปรตุเกสคว้าแชมป์ Euro 2016 หรือแชมป์ยุโรปได้เป็นครั้งแรกเมื่อกลางเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมา เชื่อกันว่า มีส่วนสำคัญที่ทำให้เมสซียอมกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะสองสัปดาห์ก่อนหน้านั้น เมสซีเพิ่งประกาศรีไทร์ลาขาดเลิกเล่นทีมชาติอาร์เจนติน่า หลังจากยิงจุดโทษพลาดทำให้พ่ายแพ้ต่อชิลีในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์อเมริกาใต้

แต่การเห็นภาพคู่แข่งสำคัญหมายเลขหนึ่งอย่างโรนัลโดชูถ้วยแชมป์ยุโรปอาจจะเป็น“ยาขม”สำหรับ กัปตันทีมชาติฟ้าขาวคนนี้เกินกว่าจะเคี้ยวกลืนได้สะดวกคอ เพราะนี่คือสิ่งเดียวที่สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสองเทพแห่งโลกลูกหนัง ณ เวลานี้ โรนัลโด สามารถคว้าได้แชมป์ทั้งในระดับสโมสรและระดับทีมชาติจนมีความเหมาะสมที่สุดสำหรับรางวัล Ballon d'Or ประจำปี 2016

ในทางตรงกันข้ามถึงจะมีฝีเท้าและพรสวรรค์เทพเพียงใดและสามารถนำบาร์เซโลน่ากวาดถ้วยแชมป์มากมายสักแค่ไหนก็ตาม แต่โลกก็ไม่สามารถยกย่องเมสซี ด้วยคำว่า The best หรือ The finest ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าทีโลกลูกหนังเคยเห็นมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำ ตราบเท่าที่เมสซียังไม่สามารถนำพาทีมชาติอาร์เจนติน่าให้ประสบความสำเร็จคว้าถ้วยแชมป์ใดๆได้ หลังจากที่ล้มเหลวในรอบชิงชนะมาแล้วถึง 3 ครั้ง

วงการฟุตบอลโชคดีที่เมสซีค้นพบแรงจูงใจเพิ่มขึ้นอีกสองสามเท่าตัว และเห็นโรนัลโดยังมีพลังมุ่งมั่นที่จะสร้างชื่อให้เหนือกว่าอีกคนหนึ่งอย่างไม่เสื่อมคลาย