มาตรการขจัดเงินนอกระบบ

มาตรการขจัดเงินนอกระบบ

ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศที่มีการทุจริตคอรัปชั่นสูง หรือมีการดำเนินธุรกิจผิด

กฏหมายประเภท การค้ายาเสพติด การพนัน หรือสินค้าผิดกฏหมายมาก ก็จะมีการถือเงินสดสำหรับกิจกรรม เช่น สำหรับการให้สินบน ค่าจ้าง หรือใช้ซื้อสิทธิขายเสียงในการเลือกตั้งทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น เงินนอกระบบนี้เป็นตัวบ่อนทำลายทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ที่ทุกรัฐบาลต้องการจะขจัดให้หมดไป ซึ่งหนึ่งในความคิดนั้นก็มีการพูดถึงกันอยู่เนืองๆ ถึงมาตรการในการยกเลิกธนบัตรเก่า เพื่อดัดหลังพวกที่เก็บเงินสดจำนวนมากไว้ในห้องลับสำหรับใช้สนับสนุนธุรกิจสีเทา เพราะมาตรการดังกล่าวนั้นจะมีผลกระทบที่อาจจะสร้างผลกระทบในระยะสั้นต่อความปั่นป่วนต่อระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศสูง แต่แล้วในที่สุดแล้วก็มีประเทศอินเดียที่กล้าหาญดำเนินการแล้ว

ข้อมูลส่วนใหญ่ในบทความนี้ได้มาจากเวปของสถานทูตไทย ประจำกรุงนิวเดลี ทั้งนี้ ในวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานี้ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี แห่งอินเดียได้ประกาศยกเลิกการใช้ธนบัตร 500 รูปี และ 1,000 รูปี (มูลค่าประมาณ 260 บาทและ 520 บาท) แบบไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า โดยให้มีผลบังคับใช้ทันที ทั้งนี้ให้บุคคลธรรมดาสามารถ (1) แลกธนบัตรเก่าเป็นธนบัตรแบบใหม่ได้ที่ธนาคารหรือที่ทำการไปรษณีย์ได้คนละ 2,000 รูปี/คน/วัน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนจนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2559 (2)ถอนเงินจากธนาคาร 24,000รูปี/บัญชี/สัปดาห์ได้จนถึงวันที่ 24 พ.ย. นี้ (3) ถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม ได้ 2,500 รูปี/บัญชี/วัน สำหรับนักท่องเที่ยวสามารถแลกเงินได้ที่ท่าอากาศยานนานาชาติ ทั้งนี้ มาตรการยกเลิกธนบัตรดังกล่าวจะไม่กระทบต่อธุรกรรมที่ไม่ใช้เงินสด เช่น การใช้จ่ายบัตรเครดิตหรือการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร

แต่น่าเสียดายยิ่งว่าข่าวยกเลิกการใช้ธนบัตรดังกล่าว ได้ถูกข่าวการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ที่ผลการเลือกตั้งที่ออกมาผิดจากคาดการณ์ของตลาด กลบข่าวเรื่องประกาศยกเลิกธนบัตรของประเทศอินเดียให้หายไปและเป็นที่น่าสนใจว่าผลกระทบที่ติดตามมาของมาตรการดังกล่าวจะมีอะไรบ้าง

ประการแรกสุด มาตรการยกเลิกเงินธนบัตรแบบฉับพลัน ทำเอาคนทั้งประเทศและคนทั่วโลกต่างโกลาหลและกังวลถึงเงินสดสกุลรูปีที่ถืออยู่ในมือ จึงทำให้เกิดการแห่กันไปนำเงินธนบัตรรุ่นเก่าไปแลกกับเงินธนบัตรรุ่นใหม่ ทำให้เกิดการขาดแคลนเงินรูปีรุ่นใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าทางการจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ธนบัตรรุ่นใหม่ออกมาให้เพียงพอกับความต้องการแลกเงินของประชาชน

เงินสดที่หมุนเวียนอยู่ในระบบอยู่ในรูปธนบัตร 500 รูปี และ 1,000 รูปี สูงถึงเกือบร้อยละ 90 ซึ่งนอกจากจะส่งผลให้เกิดปัญหาการคอรัปชันและการหลีกเลี่ยงภาษีแล้วอย่างกว้างขวางแล้ว ยังเป็นภาระค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ธนบัตรของรัฐบาลอินเดียซึ่งต้องอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศเกือบทั้งหมด การยกเลิกธนบัตรดูเหมือนจะตอบสนองการแก้ปัญหาของรัฐบาลอินเดีย แต่ในทางปฏิบัติ กลับสร้างปมปัญหาขึ้นใหม่ จากการที่รัฐกำหนดให้ประชาชนสามารถนำธนบัตร 500 รูปี และ 1,000 รูปี ไปแลกเป็นธนบัตรชนิด 500 รูปี และ 2,000 รูปี (มูลค่าประมาณ 1,050 บาท) ชุดใหม่ ซึ่งยังมีจำนวนไม่เพียงพอกับความต้องการของประชาชน ก่อให้เกิดความกังวลในภาคธุรกิจว่า มาตรการดังกล่าวจะนำไปสู่ภาวะขาดแคลนเงินสดในระบบ และสร้างแรงกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของอินเดียในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากนี้ จากการคาดการณ์ว่า อินเดียจะสูญเงินกว่า 22,000 ล้านรูปี (หรือประมาณ 11,400 ล้านบาท) ในระบบการเงินเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ผลทางด้านบวกคือการสามารถนำเงินนอกระบบให้กลับเข้ามาสู่ระบบมากขึ้นที่ รวมถึงเงินภาษี ที่พบว่าบางครอบครัวออกมายอมรับว่าไม่เคยเสียภาษีเลยในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาและยินยอมจ่ายภาษีและนำเงินกลับเข้าสู่ระบบให้ถูกต้อง ซึ่งในระยะยาวแล้วน่าจะเป็นผลดีต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศ ที่น่าจะมีเงินรายได้จำนวนหนึ่งกลับเข้าสู่ระบบ ตลอดจนสามารถลดธุรกรรมผิดกฏหมาย และการทุจริตคอรัปชัน อันเป็นรากฐานสำคัญต่อการลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ

นอกจากผลต่อภาคการเงินในประเทศแล้ว มาตรการดังกล่าวยังสร้างความตื่นตระหนกแก่นักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติที่อาศัยหรือกำลังจะเดินทางไปอินเดีย โดยรัฐบาลอินเดียยังอยู่ระหว่างแก้ไขปัญหาการแลกเงินตราต่างประเทศ ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้สถานทูตไทยในอินเดียจึงแนะนำให้คนไทยในอินเดียและผู้ที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในอินเดียใช้บัตรเครดิตหรือเดบิตในการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปก่อน หรือการถือเงินสกุลหลักอื่นๆ ไว้ใช้แลกกับเงินสกุลรูปีเพื่อการใช้สอยตามที่จำเป็นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามสำหรับชาวอินเดียที่อยู่นอกประเทศที่ถือครองเงินสกุลรูปีจำนวนมากก็ยังมีปัญหาในการที่จะแลกเปลี่ยนเงินธนบัตรรุ่นเก่า ที่รัฐบาลอินเดียก็อยู่ในระหว่างหามาตรการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อยู่

มาตรการดังกล่าวของอินดียเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ที่น่าจะได้มีการติดตามถึงผลกระทบทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในการลดปริมาณเงินสีเทานอกระบบที่ใช้สำหรับการสนับสนุนธุรกิจผิดกฏหมายหรือการทุจริตคอรัปชัน หรือการฟอกเงิน ซึ่งคนไทยจำนวนหนึ่งที่ถือ/ซ่อนเงินสดจำนวนมาก ก็คงจะเริ่มมีความกังวล และเริ่มไหวตัวในการลดการถือเงินสดจำนวนมากลง