70 ปีรัชสมัยแห่งปฐมบรมพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (2)

70  ปีรัชสมัยแห่งปฐมบรมพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (2)

หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาพการณ์ทางการเมืองไทยได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

ที่อำนาจอยู่ในมือของพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ไปสู่กลุ่มข้าราชการ และนับแต่นั้นจนถึงราว พ.ศ.2530 การแข่งขันต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมือง ล้วนกระจุกตัวอยู่ภายในกลุ่มข้าราชการมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างกลุ่มข้าราชการทหาร และจวบจนกระทั่งถึงเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่สามารถแสดงออกซึ่งพระราชอำนาจทางการเมืองแต่อย่างใด

แม้ว่าบรรดาผู้นำของคณะราษฎร์จะกล่าวอ้างความชอบธรรม ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองว่า เพื่อนำประชาธิปไตยมาสู่สยาม แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า เหตุผลสำคัญของคณะราษฎร์คือ การมุ่งจำกัดอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อที่จะฝ่ายตนจะได้มีอำนาจทางการเมืองมากขึ้น ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาคือ ใครควรจะมีอำนาจและมีแค่ไหน นั้น ได้นำไปสู่ความขัดแย้งที่เป็นทางตันระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และกลุ่มผู้นำใหม่ทางการเมือง อันส่งผลให้พระองค์ทรงสละราชสมบัติในเดือนมีนาคม 2478 ซึ่งเป็นเวลาเพียงสามปีหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และเป็นเวลาเพียงสามปีที่พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ระบอบการปกครองใหม่

ในการสรรหาผู้ที่จะขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่นั้น พระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับเลือกก็ดูจะเป็นผู้ที่ไม่สามารถจะเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มอำนาจใหม่ที่สุด นั่นคือ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโอรสในสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์ (พระยศในเวลานั้น) ผู้ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ไม่ทรงสนพระทัยหรือเกี่ยวข้องในทางการเมืองที่สุด การที่ทางรัฐบาลและสภาเลือกพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งมีพระชนมายุเพียง 10 พรรษา ก็ด้วยต้องการที่จะป้องกันมิให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลับเข้มแข็งขึ้นมาท้าทายอำนาจของระบอบใหม่นั่นเอง เพราะผู้ที่มีความเหมาะสมในการขึ้นครองราชย์อันได้แก่ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ก็ถูกรัฐบาลคณะราษฎร์บังคับให้ลี้ภัยไปอยู่ต่างแดนภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก่อนหน้าที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดจะสละราชสมบัติแล้ว

หลังจากทรงขึ้นครองราชย์ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลทรงใช้เวลาทั้งหมดไปกับการศึกษา และใช้ชีวิตกับครอบครัวในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และมิได้เสด็จกลับจนกระทั่ง พ.ศ.2488 ยกเว้นช่วงระยะสั้นๆ ในปลายปี พ.ศ. 2481 ต่อต้นปี พ.ศ.2482 ในระหว่างนี้ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังการลาออกของพระยาพหลฯ ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2481 ได้ออกมาตรการต่างๆ ในการที่จะลดทอนศักดิ์ศรีอำนาจบารมีของสถาบันพระมหากษัตริย์ เริ่มต้นด้วยการยกเลิกพระราชพิธีต่างๆ ตามพระราชประเพณี การลดสถานะกระทรวงวังจากที่เคยเป็นกระทรวงที่สำคัญที่สุด ให้เป็นเพียงสำนักพระราชวังที่ขึ้นตรงกับนายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกัน ก็ลดทอนจำนวนข้าราชการที่แต่งตั้งโดยพระราชวังลงอย่างรวดเร็ว และหลังจากการพยายามทำรัฐประหารโดยพระยาทรงสุรเดช ผู้นำทหารสายอนุรักษ์นิยมของคณะราษฎร์ที่พยายามจะกราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวหรือกรมพระนครสวรรค์ฯ กลับขึ้นครองราชย์ และมาตรการการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น เมื่อ จอมพล ป.ได้จับกุมพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร (พระยศในขณะนั้น) ซึ่งเป็นหนึ่งในสามของพระราชโอรสในรัชกาลที่ห้าที่ยังทรงพระชนม์อยู่ เพราะ จอมพล ป. เข้าใจว่า พระองค์ทรงเป็นผู้เชื่อมโยงระหว่างพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เจ็ดกับกลุ่มรัฐประหารของพระยาทรงสุรเดช 

หลังจากการพิจารณาคดีอันยาวนาน กรมขุนชัยนาทฯ ถูกตัดสินลงโทษจำคุกตลอดชีวิต และถอดบรรดาศักดิ์เป็นสามัญชน ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้สร้างความหวาดวิตกอย่างยิ่งแก่บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย และเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการประชวรของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้ากำเริบขึ้น จากนั้น สมเด็จพระราชชนนีในนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลได้ทรงร้องขอจากสวิตเซอร์แลนด์ให้กรมขุนชัยนาทฯ ได้ลี้ภัยในต่างแดนแทนที่จะต้องอยู่ในคุกตลอดชีวิต แต่คำขอดังกล่าวถูกปฏิเสธ ซึ่งเกือบเป็นสาเหตุให้พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสละราชสมบัติ เห็นได้ชัดว่า จอมพล ป. ต้องการที่จะป้องปรามมิให้บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์คิดที่จะรื้อฟื้นระบอบการปกครองเดิมขึ้นมาอีก ยิ่งกว่า นั้น จอมพลป. ยังสั่งห้ามมิให้แขวนรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในบ้านหรือที่สาธารณะ และยังให้รัฐบาลฟ้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ในข้อหาโอนเงินจำนวนหกล้านบาทจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไปต่างประเทศอย่างผิดกฎหมาย และเมื่อคดีถึงที่สุด ฝ่ายพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแพ้คดีและทรัพย์สินของพระองค์ในประเทศถูกริบโดยรัฐบาล

จอมพล ป. พยายามที่จะสร้างตัวเองขึ้นเป็นผู้นำแทนที่องค์พระมหากษัตริย์ และจากการประสบความสำเร็จในสงครามอินโดจีน ทำให้จอมพล ป. ได้รับความนิยมจากประชาชน และทำให้เขาสามารถเลื่อนตำแหน่งตัวเองเป็นจอมพล และยังแสดงความต้องการที่จะได้คทาของพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาครอบครองเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำประเทศ แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรมในฐานะผู้สำเร็จราชการฯ ได้ปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า คทาดังกล่าวมีไว้สำหรับผู้ที่เป็นพระมหากษัตริย์เท่านั้น สามัญชนไม่มีสิทธิ์ จะเห็นได้ว่า การตัดสินใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองของ จอมพล ป. อาจเปรียบเทียบได้กับการตัดสินพระทัยของรัชกาลที่หกในการเข้าร่วมสงคราม โลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเขาคาดว่า อำนาจทางการเมืองของเขาจะแข็งแกร่งชอบธรรมยั่งยืนได้หากเขาชนะสงคราม

ในช่วงที่จอมพล ป. มีอำนาจสูงสุด ได้แสดงความมั่นใจในอำนาจของตนเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ดังปรากฏชัดในคำกล่าวของเขาในการประชุมสภา : “ญี่ปุ่นมีองค์พระจักรพรรดิเป็นศูนย์รวมความเป็นหนึ่งเดียว แต่เราไม่มีเช่นนั้น สิ่งที่เรามีคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ชาติเป็นเพียงนามธรรม ศาสนาไม่สามารถทำให้คนมีศรัทธาพอเพียง พระมหากษัตริย์ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ ซึ่งเราก็เห็นได้แต่เพียงรูปเท่านั้น และรัฐธรรมนูญก็เป็นเพียงหนังสือเล่มหนึ่ง ...ดังนั้น ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายตามข้าพเจ้า นายกรัฐมนตรี” (บันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรี หมายเลข 20/2485 วันที่ 25 เมษายน 2485) กล่าวได้ว่า ในช่วง พ.ศ.2473-2483 กำลังของฝ่ายอนุรักษ์นิยมสถาบันพระมหากษัตริย์ได้สูญสลายไป และในทางปฏิบัติ สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่แต่เพียงในนามเท่านั้น ตราบเท่าที่ผู้นำของคณะปฏิวัติ 2475 ยังสามารถอยู่ในอำนาจได้ สถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะไม่มีอำนาจใดๆ และไม่สามารถพัฒนาเป็นพลังทางการเมืองที่สำคัญได้เลย