เพราะรวยมาก คนเลยห่วง

เพราะรวยมาก คนเลยห่วง

ถ้าดูอารมณ์ของสังคม คนไทยหลายคนดูเหมือนจะสะใจที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี

แล้วเกิดการประท้วงในหลายสิบเมืองใหญ่ บางแห่งมีการยิงแก๊สน้ำตา มีความรุนแรง แล้วคนไทยบางคน ก็ “เอาคืน” ด้วยการร่อนแถลงการณ์ผ่านไลน์ แสดงความห่วงใย คล้ายๆ กับสมัยที่อเมริกาออกแถลงการณ์ ตอนที่ประเทศไทยมีการประท้วงทางการเมืองค่อนข้างรุนแรง

ผมมีความเห็นว่า ใครจะชอบหรือไม่ชอบทรัมป์ก็ตาม แต่เมื่อเขาได้ประกาศนโยบายในช่วงหาเสียงอย่างชัดเจน และชนะการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ ทุกคนก็ต้องเคารพกติกาประชาธิปไตย ควรรอให้เขาฟอร์มรัฐบาล และบริหารประเทศในเดือนมกราคม 2560 เสียก่อน

หลังจากนั้นอีกระยะหนึ่ง ถ้ามีอะไรผิดพลาด ไม่ถูกอกถูกใจ จะประท้วงอย่างไรก็ว่ากันไป แต่นี่เลือกตั้งผ่านไปวันเดียวเท่านั้น ทรัมป์ยังไม่ทันจะทำอะไรเลย ก็ออกมาประท้วงกันมากมายหลายเมือง อย่างนี้จะเรียกว่าขี้แพ้ชวนตี ได้หรือไม่

ทรัมป์ เป็นนักธุรกิจมาตลอดชีวิต ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการเมือง เมื่อเขาได้รับเลือกเข้ามา คำถามและประเด็นที่อ่อนไหวจึงมีตามมามาก เรื่องหนึ่งที่กำลังเป็นประเด็นขณะนี้ก็คือ ทรัมป์จะทำอย่างไรกับเครือข่ายธุรกิจอันยิ่งใหญ่และทรัพย์สินเงินทองมากมายของเขา เพราะเขามีส่วนเป็นเจ้าของกิจการต่างๆ ถึง 500 กว่าแห่งทั่วโลก

ทรัมป์กำลังจะเป็นผู้นำประเทศ เขาจะต้องดูแลผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก แต่ทรัพย์สินที่สร้างสมมา รวมทั้งธุรกิจที่ยังประกอบการอยู่ ก็ต้องดูแลด้วย เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ จึงต้องมีวิธีหาคนอื่นมาดูแลให้

เรื่องนี้ไม่ยาก เพราะมีกลไกทางกฎหมายรองรับอยู่แล้ว เพียงแค่โอนหุ้น ทรัพย์สินและธุรกิจทั้งหมดไปให้ “บุคคลที่สาม” (Third Party) ซึ่งมีความเป็นอิสระ ที่เรียกกันว่า “Blind Trust” และทรัมป์ต้องไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือรับรู้รับทราบใดๆ เลย ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งทางการเมือง แค่นี้ก็หมดปัญหาแล้ว

แต่ทรัมป์และที่ปรึกษา ประกาศว่าจะให้บุตรของทรัมป์ทั้ง 3 คน เป็นผู้ดูแลธุรกิจทั้งหมด ตรงนี้ก็กลายเป็นประเด็น ผู้รู้หลายคนต่างวิจารณ์ว่า อย่างนี้ไม่เรียกว่า “Blind” เพราะทรัมป์กับลูกย่อมคุยกันได้เสมอ นอกจากนั้น สัปดาห์นี้ทรัมป์ได้แต่งตั้ง คณะบุคคลที่จะคัดสรรผู้เข้าดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาล และบุตรทั้ง 3 คนของทรัมป์ ก็นั่งอยู่ในคณะนี้ด้วย

เรียกเสียงฮือฮาว่าไม่เหมาะสมยิ่งนัก เพราะบุตรทั้ง 3 คนที่จะดูแลธุรกิจ กลับเข้าไปมีบทบาทสำคัญทางการเมืองในช่วงนี้ ความขัดแย้งทางผลประโยชน์คงเกิดขึ้นในอนาคต และอาจสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้แก่เครือข่ายของตนเอง โดยมีฐานอำนาจทางการเมืองค้ำยัน เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ อเมริกาเคยมีประธานาธิบดีที่เป็นนักธุรกิจมาแล้ว เช่น ทรูแมน (ธุรกิจเหมืองแร่และน้ำมัน) บุช พ่อและลูก (น้ำมัน) และ คาร์เตอร์ (ถั่วลิสง) น่าสังเกตว่า ทรูแมน ซึ่งทำธุรกิจอะไรก็ล้มเหลวไปหมดทุกอย่าง แต่กลับเป็นประธานาธิบดีที่ได้รับการยอมรับมากพอสมควร ในขณะที่คนอื่นซึ่งทำธุรกิจประสบความสำเร็จ พอเป็นประธานาธิบดี กลับทำได้เพียง “งั้นๆ”

ทรัมป์ ทำธุรกิจได้สำเร็จและร่ำรวยมาก แต่มีประสบการณ์ทางการเมืองน้อยมาก แถมพูดจาก้าวร้าวรุนแรง ก็เลยทำให้คนเป็นกังวลว่าจะเดินตามรอยอดีตประธานาธิบดี ที่สำเร็จทางธุรกิจแต่ไม่สำเร็จทางการเมืองหรือไม่

เร็วเกินไปที่จะตอบคำถามนั้น แต่อเมริกาคงจะศึกษาบทเรียนจากประเทศอื่นได้ เช่น อิตาลี ซึ่งมหาเศรษฐีติดอันดับโลก “เบอลุสโคนี่” ผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองน้อยมาก แต่ชนะการเลือกตั้งได้เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ถึง 3 ครั้ง 3 ครา

เบอลุสโคนี่ ไต่เต้ามาจากคนธรรมดา เป็นพนักงานขายเครื่องดูดฝุ่น จากนั้นไปเป็นนักร้องในเรือสำราญ แล้วก็สร้างฐานธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จนประสบความสำเร็จ ร่ำรวยมหาศาล ก่อนที่จะได้เป็นผู้นำประเทศอิตาลี

บางคนวิจารณ์ว่า เบอลุสโคนี่ เป็นตัวตลกระดับชาติ บางคนบอกว่าเขาคือความน่าละอายของอิตาลี เขาถูกกล่าวหาเรื่องความไม่โปร่งใส หลายกรณี ฯลฯ เมื่อพ้นจากตำแหน่งครั้งสุดท้าย เขาถูกศาลพิพากษาให้มีความผิดเรื่องภาษี ต้องรับโทษจำคุก แต่เมื่ออายุเกิน 70 ปี ก็เลยเปลี่ยนเป็นการให้บริการสังคมแทน

ผมคิดว่าคนอเมริกัน รวมทั้งกลไกทางการเมืองและสังคม คงไม่ปล่อยให้ทรัมป์ทำอะไรเรื่อยเปื่อยแบบนั้นได้ง่ายๆ และถ้าทรัมป์และครอบครัวหาประโยชน์ส่วนตัวจนขัดแย้งกับประโยชน์ของชาติจริง ทรัมป์ก็คงไปไม่รอด เพราะไม่ว่าประเทศไหนในโลก ไม่ว่าประชาธิปไตยหรือเผด็จการก็ตาม ผู้นำที่ทำแบบนั้น ไม่เห็นเคยไปได้ตลอดรอดฝั่ง เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง

ขณะเดียวกัน ก็ไม่ควรสรุปว่านักธุรกิจที่ร่ำรวย จะเป็นผู้นำทางการเมืองที่ดีไม่ได้ ต้องรอดูกันต่อไปครับ โอกาสเปิดให้ทรัมป์แล้ว ที่เหลือเขาจะต้องอ่านประวัติศาสตร์การเมือง แล้วมุ่งมั่นเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ เพื่อให้ผู้คนชื่นชมให้ได้

โรนัลด์ เรแกน เคยถูกดูแคลนว่าเป็นดารา ไม่ประสาทางการเมือง อายุก็เข้าเลขเจ็ด จะมีทีเด็ดอะไรกัน แต่ที่ไหนได้ เขากลายเป็นประธานาธิบดีที่มีเสน่ห์ และคนรักมากมาย

ทรัมป์ชนะแบบไม่คาดหวัง เรียกว่าเป็น “Disruptive” เลยทีเดียว ก็ต้องทำให้ดีกว่าที่คนคาดหวัง ไม่เช่นนั้นประโยคที่เคยกล่าวไว้ในรายการรีแอลิตี้ของคุณ อาจจะย้อนกลับมาถึงตัวเองก็ได้.......You Are Fired!