The Rigged System

The Rigged System

ตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยมโลกถูกปั่น

ในระหว่างการหาเสียงนายโดนัล ทรัมป์ 1 ใน 2 ตัวเต็งของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวแทนทางพรรครีพับรีกันได้มีการพูดถึงเรื่องราวการถูก “Rigged” ของระบบต่าง ๆอาทิ ระบบเศรษฐกิจ (The whole economy is rigged; CNN Money, 22 June 2016) ระบบธนาคารกลางของสหรัฐ (The Fed is rigged; MSNBC, 16 Sep 2016) ระบบการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ก็กำลังจะถูก rigged (The riggingelection) หรือล่าสุดในสถานการณ์ที่ FBI รีบออกมาเคลียร์ให้นางฮิลลารี(เกี่ยวกับเรื่องของอีเมล์ที่นางถูกกล่าวหาอยู่)ทรัมป์ก็ได้ออกมากล่าวว่า “Hillary Clinton isprotected by a rigged system” (Independent, 7 Nov 2016) 

อันที่จริง คำศัพท์คำว่า Rigged มีความหมายได้หลากหลายตามรูปประโยค แต่ที่ มร.ทรัมป์หมายความถึงในที่นี้คงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากหมายถึง “to arrange dishonestly for the result of something” (Cambridge Dictionary) หรืออาจแปลได้ว่า “ถูกจัดการอย่างไม่ถูกต้องเพื่อหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่ง”

การที่ นายทรัมป์ พยายามหาเสียงด้วยประเด็นเรื่อง “Rigged” สอดคล้องกับความเชื่อของอเมริกันชนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เห็นจากผลโพลในบทความในนิตยสาร Fortune ฉบับวันที่ 29 June 2016 ที่รายงานว่าประมาณ 71% ของคนอเมริกันเชื่อว่าเศรษฐกิจของอเมริกานั้น Rigged อีกทั้งก็ยังมีคำกล่าวของนาย Bernie Sander ผู้รับสมัครเลือกตั้งอีกคนทางฝั่งของเดโมเคต (คู่แข่งนางฮิลลารี) ที่ได้พูดเรื่องนี้มาตั้งแต่พ.ย.ปีที่แล้วว่า “Rigged Economy เกิดขึ้นจากวัตถุประสงค์เพื่อกำจัดคนชนชั้นกลาง (middle class) ของรัฐบาลและกลุ่มการเงินใน Wall Street”

พูดไปถึงกลุ่มการเงินใน Wall Street ทำให้อดนึกถึงอีกตัวอย่างหนึ่งไปไม่ได้ นั่นคือ ความเชื่อเรื่อง Rigged ในตลาดหุ้นของ Michael Lewis ผู้แต่งหนังสือและต่อมาได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง “Moneyball” และ “The Big Short” ซึ่งให้สัมภาษณ์รายการ 60Minutes (30 March 2014) ทางช่อง CBSว่า “The United States stock market, the most iconic market in global capitalism, is rigged” หรือแปลได้ว่า “ตลาดหุ้นสหรัฐซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของระบบทุนนิยมโลกถูกปั่น”

โดย Lewis ตีพิมพ์เรื่องราวที่เกี่ยวกับวงการตลาดการเงินที่ถูก Rigged ภายใต้ชื่อ “Flash Boys: A Wall Street Revolt”(ตีพิมพ์เมื่อ 31 May 2014) ที่ผูกโยงเรื่องราวตั้งแต่ตอนเกิด Flash Crashในวันที่ 6 May 2010 ที่ตลาดหุ้นในประเทศสหรัฐซึ่งดัชนี Dow Jones เกิดอาการ Crash โดยปรับตัวลดลงกว่า 600 จุดใน 5 นาที รวมไปเป็นติดลบถึง 1,000 จุด ซึ่งต่อมารายงานของคณะกรรมการร่วมของ U.S. Securities Exchange Commission และ Commodity Futures Trading Commission ได้ระบุว่าหนึ่งในองค์ประกอบร่วมที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวก็คือ การตั้งโปรแกรมเพื่อการซื้อขายหุ้น (Program Trading) และ การส่งคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูง (High Frequency Trading) หรือ HFT ที่ Michael เรียกว่าเป็น Flash Boys ที่ Lewis เชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ตลาดถูก “Rigged” ได้

ประเด็นเรื่อง Flash Boys ตามความเชื่อของ Lewis ได้รับเสียงคัดค้าน โต้แย้ง หรือแม้กระทั่งด่าทอ จากคนในวงการที่เกี่ยวข้องกับ HFT พอสมควรครับ โดยบ้างก็อ้างว่า HFT นั้นมีประโยชน์อย่างงี้อย่างงั้น อาทิ เป็นการเสริมสร้างสภาพคล่องให้ตลาด (i.e., ช่วยให้ส่วนต่างของราคา bid และ offer แคบลง)

สำหรับการพิสูจน์เรื่องราวของการ “Rigged” ของระบบต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมา คงต้องเป็นหน้าที่ของนักวิชาการครับ ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงิน สังคม การเมืองหรือเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นในการที่ต้องนำเอาข้อมูลจริง หรือ Empirical Evidence มาทดสอบด้วยเครื่องมือทางสถิติแล้วก็มีบทสรุปออกมาตีพิมพ์ใน Journal ทางวิชาการต่าง ๆ

แต่สำหรับกรณีของการเลือกตั้งของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ ไม่ว่า Election หรือ Systemจะโดน “Rigged”หรือไม่ ในเวลาบทความนี้ตีพิมพ์ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งที่ 58 เพื่อเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา คงเป็นที่รับทราบกันแล้ว ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ผมก็เชื่อว่าอเมริกันชนคงยอมรับผลการเลือกตั้งในครั้งนี้โดยดุษฎี ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกระบวนการตามระบอบประชาธิปไตยของสหรัฐฯ ที่บรรพบุรุษของพวกเค้าได้วางรากฐานไว้ให้และได้รับการสานต่อกันมาเป็นเวลากว่า 200 ปีมาแล้ว