ประเทศขยับอันดับ คุณภาพชีวิตคนต้องเพิ่ม

ประเทศขยับอันดับ คุณภาพชีวิตคนต้องเพิ่ม

จากการเปิดเผยของนายทศพร ศิริสัมพันธ์

 เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) กล่าวถึงรายงานผลการวิจัยประเทศ ที่มีความสะดวกในการเข้าไปประกอบธุรกิจ (Doing Business2017) ซึ่งเป็นการสำรวจความยากง่าย ในการประกอบธุรกิจของประเทศสมาชิก ของธนาคารโลกจำนวน 190 ประเทศ ปรากฏว่า ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับอยู่ที่ 46 จากปีก่อนที่อยู่อันดับ 49 ปรับดีขึ้น 3 อันดับ ได้คะแนนรวมทุกด้าน 72.53 คะแนน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ได้ 71.65 คะแนน ถือว่ามีคะแนนขยับเข้าใกล้กลุ่มประเทศที่มีความสะดวกในการทำธุรกิจมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (OECD) มากขึ้น

ธนาคารโลกระบุว่าประเทศไทยมีผลการจัดอันดับดีขึ้นใน 5 ด้าน ได้แก่ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ จากอันดับที่ 96 เป็นอันดับที่ 78 ด้านการได้รับสินเชื่อ จากอันดับที่ 97 มาเป็นอันดับที่ 82 ด้านการคุ้มครองผู้ลงทุนจากอันดับที่ 36 มาเป็นอันดับที่ 27 ด้านการบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงจากอันดับที่ 57 มาเป็นอันดับที่ 51 และด้านการแก้ไขปัญหาล้มละลายจากอันดับที่ 49 มาเป็นอันดับที่ 23 ซึ่งการปรับปรุงบริการภาครัฐของไทยที่ธนาคารโลกมองว่าเป็นการปฏิรูปที่สำคัญมี 3 ด้าน คือ การเริ่มต้นธุรกิจซึ่งใช้ระบบออนไลน์ยื่นจดทะเบียนธุรกิจอย่างเป็นระบบ การได้รับสินเชื่อที่ใช้ระบบประเมินคะแนนเครดิตบูโร ทำให้ธนาคารพาณิชย์ตัดสินใจให้สินเชื่อง่ายขึ้น และการแก้ปัญหาการล้มละลาย ที่ชัดเจนเรื่องการออกกฎหมายเพื่อให้ความมั่นใจแก่นักลงทุนในการได้รับเงินคืนหลังจากการฟ้องร้อง รวมทั้งการลดขั้นตอนการฟ้องร้อง ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยได้คะแนนการแก้ไขปัญหาและกฎหมายล้มละลายของธุรกิจสูงสุดในอาเซียน คือ อันดับที่ 23 ดังกล่าว ถือเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

พร้อมกันนี้ ไทยมีเป้าหมายขยับอันดับจาก 49 ขึ้นไปอยู่ที่ 30 กว่า หรือเพิ่มขึ้นอย่างน้อยอีก 7 อันดับ ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้ดูแลขับเคลื่อนงาน Doing Business จะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือถึงแนวทางการยกระดับการให้บริการภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจให้ได้มากขึ้น และมีเป้าหมายกำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีว่าจะต้องขยับไปอยู่ที่ 2 ของอาเซียนภายในปี 2564 จากปัจจุบันอยู่อันดับที่ 3 ของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย

การจะก้าวขยับอันดับนั้น ธนาคารโลกแนะนำ และไทยต้องแก้ไขเพื่อเพิ่มความสะดวกในการลงทุนของธุรกิจมากขึ้น ประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1.การปรับปรุงระบบภาษี ซึ่งยังคงมีความซ้ำซ้อน และใช้เวลาขอคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลานาน 2. การพัฒนาระบบวัน สต็อป เซอร์วิส โดยจะจัดตั้งศูนย์คำขออนุญาตแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อรับเรื่องการขอจัดตั้งธุรกิจ และพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลของหน่วยงานราชการต่างๆ ให้ใช้งานได้จริง 3. การแก้ไขปัญหาการขออนุญาตก่อสร้าง และการขออนุญาตใช้ไฟฟ้าที่ปัจจุบันยังคงล่าช้าใช้เวลาติดตั้งมิเตอร์ 37 วัน และมีต้นทุนดำเนินการสูงกว่าประเทศอื่น ที่ 45.9 ดอลลาร์ ขณะที่สิงคโปร์ขอใช้ไฟฟ้าและติดตั้งมิเตอร์ภายใน 31 วัน มีค่าใช้จ่ายเพียง 25.9 ดอลลาร์ 

ทั้งนี้ จากมาตรการ และแนวโน้มที่เกิดขึ้น หากประเทศไทยปรับปรุงขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศให้ดียิ่งขึ้นได้ ด้วยการให้ความสำคัญกับการปฏิรูปอย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้ดีขึ้น ดำเนินการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ พัฒนาแรงงานให้มีทักษะผ่านการศึกษาที่มีคุณภาพ รวมถึงการส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ๆ นอกจากจะช่วยให้คนไทยมีงานทำและเป็นงานที่ดีขึ้น นั่นหมายถึงคุณภาพชีวิตประชากรต้องดีขึ้นเช่นกัน