ข้อเสนอสำหรับทีมฟุตบอลไทย ในแมทช์คัดเลือกฟุตบอลโลก

ข้อเสนอสำหรับทีมฟุตบอลไทย ในแมทช์คัดเลือกฟุตบอลโลก

ตามที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ประกาศยุติการแข่งขันฟุตบอลภายในประเทศ

ทุกรายการเพื่อไว้อาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและเหมาะสมที่สุดแล้ว

แต่ในขณะเดียวกัน สมาคมฟุตบอลไทยฯก็ต้องผิดหวังอย่างมากๆ เมื่อทางสมาคมฟุตบอล ออสเตรเลียปฏิเสธคำร้องขอให้สลับปรับเปลี่ยนโปรแกรมเหย้าเยือนการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก โซนเอเชีย โดยทีมชาติไทยประสงค์จะขอเดินทางไปแข่งขันในนัดเยือนที่ออสเตรเลียก่อน สลับจากโปรแกรมเดิมที่ไทยจะเป็นเจ้าบ้านพบกับทีมชาติออสเตรเลียในวันที่ 15 พ.ย.หรือมิฉะนั้น ก็จัดแข่งขันในสนามเป็นกลางในประเทศที่สามอย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อคำตอบเป็นที่แน่ชัดและเป็นที่เข้าใจได้ว่าออสเตรเลียต้องการให้เป็นไปตามกำหนดการเดิมทั้ง วันเวลาและสถานที่ เท่ากับว่า เกมแข่งขัน ณ สนามราชมังคลากีฬาสถานในวันที่ 15 พ.ย.ต้องดำเนินการต่อไปตามกำหนดเดิม เว้นแต่สมาคมฟุตบอลไทยฯจะตัดสินใจแจ้งความประสงค์ (ไปยังฟีฟ่า) ว่า ขอยกเลิกไม่ทำการแข่งขันในวันดังกล่าวและยินยอมให้ถูกปรับแพ้ เป็นทางเลือกที่ไม่เคยถูกกล่าวถึงและไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ผู้เกี่ยวข้องจะพิจารณาเลือก

แล้วเราจะมีทางเลือกหรือทางออกที่เหมาะสมอย่างไรบ้าง กับช่วงเวลาการถวายความอาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กรณีของอิหร่านที่เพิ่งเกิดขึ้นล่าสุดสดๆ ร้อนๆ น่าจะเป็นแนวทางหนึ่งที่สมาคมฟุตบอลไทยฯ ควรจะได้นำมาพิจารณาเพื่อประยุกต์ปรับใช้ตามความเหมาะสมและจำเป็น

ก่อนหน้านี้ อิหร่านกำหนดแข่งกับทีมชาติเกาหลีใต้ในแมทช์แข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนเอเชียในวันที่ 11 ต.ค.ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากช่วงวันที่ 11-12 ตรงกับเทศกาลวันอาชูรออ์ซึ่งถือเป็นวันที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวมุสลิมนิกายชิอะห์ในอิหร่าน จึงเกิดข้อถกเถียงในอิหร่านเกี่ยวกับแมทช์นี้ว่า จะหาทางออกหรือลงเอยอย่างไรดีที่จะไม่ให้กระทบทั้งต่อความสำคัญทางศาสนาและความสำคัญทางเกมกีฬา ทางเลือกหนึ่งก็คือขอเลื่อนวันแข่งขัน โดยทางอิหร่านเสนอให้จัดแข่งเร็วขึ้นสองวันคือ วันที่ 9 ต.ค. แต่ทีมเกาหลีใต้และฟีฟ่าไม่เห็นด้วย

ทางเลือกต่อมาซึ่งเป็นข้อเรียกร้องจากผู้นำทางศาสนาก็คือยกเลิกการแข่งขันไปเลย นั่นหมายถึงอิหร่านจะต้องถูกปรับแพ้ 0:3 โดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้โอกาสของอิหร่านที่จะผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายสุดท้ายฟุตบอลโลกปี 2018 ที่รัสเซียลดน้อยลงไปด้วยจนถึงขั้นหมดโอกาส ทั้งๆ ที่อิหร่านมีโอกาสค่อนข้างสูงมาก การผ่านเข้าไปเล่นบนแผ่นดินรัสเซียซึ่งเป็นพันธมิตรทางทหารของอิหร่านในวิกฤติซีเรียย่อมเป็นสิ่งที่ผุ้นำอิหร่านพึงปรารถนาอย่างแน่นอน

จนในที่สุด การประนีประนอมพบกันครึ่งทางจึงเกิดขึ้น โดยเกมฟุตบอลสามารถดำเนินต่อไปได้ โดยไม่กระทบต่อความสำคัญทางศาสนา ภายใต้เงื่อนไขและความร่วมมือ ดังนี้

หนึ่ง ทั้งสนามจะต้องประดับตกแต่งด้วยโทนสีดำ ซึ่งเป็นสีประจำสำหรับวันอาชูรออ์ เพื่อเป็นการรำลึกถึงการเสียชีวิตของอิหม่ามฮุเซนเมื่อกว่า 1300 ปีก่อน

สอง แฟนลูกหนังชาวอิหร่านที่เข้าชมภายในสนามต้องสวมใส่เสื้อสีดำให้ถูกกาละเทศะ

สาม ไม่อนุญาตให้แฟนลูกหนังแสดงความดีใจหรือฉลองชัย หากทีมอิหร่านยิงประตูหรือได้รับชัยชนะ

สี่ ทางการอิหร่านยังได้ขอความร่วมมือแฟนบอลเกาหลีใต้ให้ปฏิบัติตามธรรมเนียม “มาถึงกรุงโรมให้ปฏิบัติเยี่ยงชาวโรมัน” ด้วย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือด้วยดีในระดับหนึ่ง

เพราะฉะนั้นแล้ว แนวทางความเป็นไปได้สำหรับแมทช์การแข่งขันระหว่างทีมชาติไทยและทีมชาติออสเตรเลียในวันที่ 15 พ.ย. ที่สมาคมฟุตบอลไทยฯควรพิจารณาดำเนินการ ก็คือ

หนึ่ง อาจทำเรื่องแจ้งความประสงค์ไปยังฟีฟ่าขอเปลี่ยนแปลงชุดแข่งขันเป็นกรณีพิเศษ(เฉพาะสำหรับนัดวันที่ 15 พ.ย.) เป็นสีดำทั้งชุด หรือขาวดำ หรือมิฉะนั้น ก็ปรับเปลี่ยนให้เป็นสีน้ำเงินโทนเข้ม (dark blue) จนมองคล้ายเป็นสีดำ ในกรณีที่ไม่ได้รับอนุญาต ก็ใช้วิธีสวมปอกแขนดำเหมือนที่นักฟุตบอลอิหร่านปฏิบัติในแมทช์ที่ลงแข่งกับเกาหลีใต้ ซึ่งเชื่อว่าจะได้รับความร่วมมือจากนักฟุตบอลออสเตรเลียอย่างแน่นอน

สอง ขอความร่วมมือให้กองเชียร์ไทยสวมใส่ (เฉพาะ) เสื้อสีดำมากันให้เต็มทั้งสนามเหมือนที่กองเชียร์อิหร่านเกือบแสนได้ทำมาแล้ว ในขณะเดียวกัน คนไทยก็ควรเตรียมปอกแขนสีดำจำนวนหนึ่งไว้สำหรับกองเชียร์ออสเตรเลียด้วยในลักษณะขอความร่วมมืออย่างสุภาพ

ก่อนแมชท์การแข่งขันจะเริ่มขึ้นนักฟุตบอลไทยและกองเชียร์ชาวไทยทุกคน ร่วมใจกันร้อง เพลง สรรเสริญพระบารมีให้ดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่วทั้งสนาม หลังจากนั้นทุกคนภายในสนามร่วมกันยืนสงบนิ่งเพื่อเป็นการถวายความอาลัย และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้

อย่างน้อยที่สุด เป็นอีกโอกาสหนึ่งที่จะแสดงให้ชาวโลกที่เฝ้าชมการถ่ายทอดสดได้ประจักษ์แก่สายตาอย่างแท้จริงถึงพระบารมีของพระองค์ท่านว่า คนไทยทั้งประเทศจงรักภักดีต่อ “พ่อหลวง” มากมายมหาศาลแค่ไหนจนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดหรือเป็นตัวอักษรได้