มิติแห่งการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตาม 'ศาสตร์พระราชา'
แนวคิดว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เป็นอมตะ เพราะไม่เพียงแต่เป็นการย้ำถึงการเดิน “สายกลาง” ในการใช้ชีวิตเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญของ “ความยั่งยืน” อันมีความสำคัญอย่างยิ่งอีกด้วย
ผมอ่านแนวทางวิเคราะห์ของ ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในปาฐกถาพิเศษในงาน "Thailand’s Economic Outlook 2017” ในหัวข้อ “เดินหน้าสู่การพัฒนาอย่างยิ่งยืน” แล้ว เห็นว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง
คุณวิรไทบอกว่าได้มีโอกาสศึกษาองค์ความรู้ หลักคิดและต้นแบบทรงงานของในหลวง ร.9 แล้วมีอย่างน้อย 3 มิติสำคัญที่คนไทยควรยึดถือเป็นแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ
มิติแรกคือการยกระดับศักยภาพ และผลิตภาพของไทยให้สูงขึ้นทั้งในระดับบุคคล สังคมและประเทศโดยอาศัยพลังแห่งความเพียร ความอดทน ความร่วมมือกัน และการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสำคัญของการพัฒนา ดั่งพระบรมราโชวาทที่ว่า
“การดำรงชีวิตที่ดีจะต้องปรับปรุงตัวตลอดเวลา การปรับปรุงตัวจะต้องมีความเพียรและความอดทนเป็นที่ตั้ง ถ้าคนเราไม่มีความหมั่นเพียรและความอดทนก็อาจจะท้อใจไปโดยง่าย เมื่อท้อใจไปแล้วไม่มีทางที่จะมีชีวิตเจริญรุ่งเรืองแน่ ๆ”
มิติที่สองที่การพัฒนาอย่างยั่งยืนจะต้องมีคือ “เสถียรภาพ” เพื่อให้การพัฒนาส่งผลให้มีชีวิตของแต่ละคนมีความปลอดภัยมีความเจริญ มีความสุขและไม่สะดุดขาตัวเอง เสถียรภาพเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเรารู้จักที่จะพอประมาณ “ไม่ทำด้วยอาการเร่งรีบตามความกระหายที่จะสร้างของใหม่เพื่อความแปลกใหม่” รวมทั้งจะต้องคิดถึงการประหยัด เก็บสะสมทรัพยากรในวันนี้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันจากความผันผวนต่าง ๆ ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น คาดเดาได้ยากขึ้น
ดั่งพระราโชวาทที่สะท้อนถึงแนวพระราชดำรัสนี้ว่า
“เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเสมือนรากฐานของชีวิต รากฐานแห่งความมั่นคงของแผ่นดิน เปรียบเสมือนเสาเข็มที่ถูกตอกรองรับบ้านเมืองตัวอาคารไว้นั่นเอง สิ่งก่อสร้างจะมั่นคงได้ก็อยู่ที่เสาเข็ม แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นเสาเข็มและลืมเสาเข็มด้วยซ้ำไป”
มิติที่สามคือการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างทั่วถึง หรือการพัฒนาอย่างส่วนร่วมของประชาชนทั้งประเทศเพื่อให้ “ชีวิตของแต่ละคน” เจริญขึ้น
การพัฒนาอย่างทั่วถึงจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งทางสังคมและสร้างพลังร่วมกันให้สามารถเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ของประเทศได้
การพัฒนาอย่างทั่วถึงจะต้องเริ่มต้นจากพวกเราทุกคน ดั่งพระราชดำรัสว่า
“ความสุขความเจริญอันแท้จริงนั้นหมายถึงความสุขความเจริญที่บุคคลแสวงหามาได้ด้วยความเป็นธรรม ทั้งในเจตนาและการกระทำ ไม่ใช่ได้มาด้วยความบังเอิญหรือด้วยการแก่งแย่งเบียดบังจากผู้อื่น”
แนวพระราชดำริเรื่องพัฒนาเพื่อความยั่งยืนทั้งชัดเจน ตรงเป้าและพิสูจน์ด้วยความจริงของโลกได้ทุกประเด็นจริง ๆ