สนิมเกิดแต่เนื้อในตน

สนิมเกิดแต่เนื้อในตน

ช่วงนี้ เรื่องที่ผู้คนกำลังจับตาอย่างใกล้ชิด ก็คงเป็นเรื่องใกล้ตัว

อย่างเรื่องของ น้ำฝน น้ำเหนือ น้ำขัง ว่าจะส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ทั้งคนกรุง คนต่างหวัด ทั้งคนทั่วไป ทั้งคนในภาคอุตสาหกรรม คนในภาคการเกษตร

หลังๆ มานี้จะเห็นได้ว่าปัญหาเกี่ยวกับน้ำเกิดขึ้นบ่อยครั้ และท้ายที่สุดก็มองหาคนที่จะมาแก้ไข อยากได้อัศวินม้าขาว แต่ไม่ค่อยย้อนไปดูกันถึงที่มาของปัญหา

การจะแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืน คงต้องเริ่มที่ทุกคนต้องรับก่อน ว่าตัวเองมีส่วนทำให้เกิดปัญหา เพื่อที่จะได้ทางแก้ที่ถูกทาง

ทุกคนในที่นี้รวมถึงบุคคลทั่วไป และหน่วยงานต่างๆ ที่เคยทำผิดพลาดมา

คืนก่อนผมดูข่าวทีวีไปถ่ายทำ ที่ประตูอุโมงค์ระบายน้ำย่านพระราม 9 สิ่งแรกที่เห็นและสะดุดใจ คือ ภาพเจ้าหน้าที่ เข้าใจว่าระดับล่างๆ ผลุบๆ โผล่ๆ ตรงตะแกรงเหล็กขนาดใหญ่ เพื่อดึงขยะที่ติดออกไป เปิดทางให้น้ำไหลสะดวก เป็นงานที่น่าเห็นใจ เพราะนอกจากน้ำจะสกปรกแล้ว ยังมีความเสี่ยงที่เกิดจากกระแสน้ำที่กำลังไหลแรงอีกด้วย 

รายงานข่าวแจ้งว่า เฉพาะจุดนี้แต่ละวันมีขยะที่ต้องนำขึ้นจากน้ำจากด้วยแรงคน และเครื่องจักรประมาณ 5 ตัน แถมยังมีขยะที่ไม่น่าจะมี เช่น เฟอร์นิเจอร์พังๆ หรือว่าที่นอนเน่าๆ รวมอยู่ด้วย

หรือข่าวคราวที่เห็นบ่อยๆ คือ การลอกท่อระบายน้ำ สิ่งที่ได้ขึ้นมาเต็มไปด้วยขยะมากมาย ก็ถ้าหลายคนยังทิ้งขยะไม่เลือกที่ แล้วก็จะเอาแต่บ่นประชดประชัน เรื่องน้ำรอระบาย เพียงอย่างเดียว ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก

ขณะที่พื้นที่ต่างจังหวัด หลายแห่งเปลี่ยนแปลงไป จุดที่เคยเป็นทางผ่านน้ำ เป็นแก้มลิงธรรมชาติ แปรเปลี่ยนเป็นบ้านเรือน หมู่บ้าน โรงงานอุตสหกรรม ที่มีทั้งกำแพง หรือ การถมดินสูง ปฏิเสธการผ่านของน้ำที่เคยผ่านได้แต่ไหนแต่ไร น้ำก็ต้องหาทางไปทางใหม่ทดแทน 

ขณะที่แม่น้ำลำคลองที่เคยมีคุณูปการ แต่เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไป เป็นยุคประชายานยนต์ ผฺู้คนหันมาใช้รถแทนเรือ ซึ่งก็ไม่แปลก แต่แทนที่คนเราจะรักษาแม่น้ำลำคลองไว้ กลับไม่เห็นคุณค่า ไปให้ความสำคัญกับถนนมากกว่า 

ผมไม่รู้ว่าเกิดขึ้นที่ไหนบ้าง แต่ใกล้ๆ ตัวผม ที่สองพี่น้อง สุพรรณบุรี เมื่อจะทำทางข้ามคลอง เขาไม่สร้างสะพาน แต่ใช้วิธีถมดินลงไปในคลอง โดยมีท่อซีเมนต์ฝังอยู่ให้น้ำไหลได้บ้าง  

เป็นอันว่าชาวบ้านชาวช่องที่เคยใช้เรือ ก็เข็นเรือขึ้นคานเป็นการถาวร หรือไม่ก็ขายทิ้งไปให้นักสะสม 

คลองที่เคยเป็นเส้นทางสัญจร มีน้ำใสสะอาด ก็เริ่มถูกปกคลุมด้วยวัชพืชจนเต็ม และค่อยๆเน่าเสีย ชาวบ้านเคยใช้น้ำจากคลอง ก็ต้องหันไปพึ่งน้ำประปาเพียงอย่างเดียว 

และเมื่อน้ำนิ่ง ก็เลยกลายเป็นแห่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของยุง ทุกวันนี้ยังไม่ทันมืด ต้องรีบหนีเข้ามุ้ง

ฤดูกาลที่ชัดเจนก็เริ่มเปลี่ยนไป เพราะทางน้ำไม่สะดวกเหมือนก่อน น้ำที่เคยท่วมปลายปีเป็นประจำทุกปี ก็ท่วมบ้างไม่ท่วมบ้าง ชาวนาที่เคยหยุดทำนาปลายปี ก็เริ่มทำบ้าง แต่พอวันดีคืนดีปีไหนน้ำมาก ก็ท่วมสร้างความเสียหาย  

คิดไปคิดมา ก็คงรู้แล้วว่าจะโทษใครดี