คลาวด์คอมพิวติ้งแห่งยุคสตาร์ทอัพ

คลาวด์คอมพิวติ้งแห่งยุคสตาร์ทอัพ

ได้กลับมาพัฒนาแอพพลิเคชั่นอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ได้ห่างเหินไป 2 - 3 ปี

สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือรูปแบบใหม่ของการพัฒนาแอพพลิเคชั่นด้วยการใช้คลาวด์คอมพิวติ้ง ซึ่งไม่ใช่รูปแบบเดิมของคลาวด์คอมพิวติงที่อาจคุ้นเคยกันจากไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ แต่เป็นรูปแบบใหม่ที่มีความเหมาะสมกับธุรกิจสตาร์ทอัพมากที่สุดในยุคปัจจุบัน

ต้องเท้าความก่อนว่า "คลาวด์คอมพิวติ้ง"ในรูปแบบเดิมเป็นนวัตกรรมที่ทำให้ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นไม่จำเป็นต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เป็นเซอร์เวอร์ของตัวเอง หรือหากเป็นธุรกิจก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีดาต้าเซ็นเตอร์เป็นของตัวเอง เพราะสามารถเช่าใช้บริการจากผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้ง

ตัวอย่างเช่น แทนที่ธุรกิจจะต้องซื้ออุปกรณ์เซอร์เวอร์ของตัวเอง 10 เครื่อง ธุรกิจสามารถที่จะเช่าเซอร์เวอร์จำนวนนี้อยู่ในคลาวด์คอมพิวติ้งและยังสามารถปรับลดหรือเพิ่มจำนวนได้เป็นรายวินาทีโดยจ่ายเงินเฉพาะจำนวนเครื่องเซอร์เวอร์ที่ต้องใช้งานจริงอย่างเรียลไทม์

เพราะหากต้องซื้อเซอร์เวอร์ของตัวเอง 10 เครื่อง ก็จะมีสภาพเป็นต้นทุนจม ที่อาจไม่ได้มีการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ 100% อย่างต่อเนื่อง คลาวด์คอมพิวติ้งจึงเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ธุรกิจไม่ต้องเป็นห่วงเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์เพราะเป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งทั้งหมด ธุรกิจจึงสามารถมุ่งเน้นทรัพยากรไปที่การพัฒนาทีมวิศวกรทางซอฟท์แวร์ แต่นั่นเป็นเรื่องราวของอดีต ปัจจุบันคลาวด์คอมพิวติ้งได้ก้าวพ้นรูปแบบนั้นมาแล้ว

ล่าสุดมีบริการ Lambda ของ Amazon และยังมีบริการ Azure Functions ของ Microsoft บริการ Cloud Functions ของ Google หรือกระทั่ง OpenWhisk ของ IBM ซึ่งเป็นก้าวต่อไปของคลาวด์คอมพิวติ้งแห่งยุคสตาร์ทอัพ

คลาวด์คอมพิวติ้งรูปแบบใหม่ ไม่ใช่การเช่าใช้เครื่องเซอร์เวอร์ที่อยู่บนคลาวด์อีกต่อไปแต่เป็นการเช่าใช้อัตราการคำนวณของคอมพิวเตอร์ (CPU Time) คือจะใช้คอมพิวเตอร์คำนวณเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น ไม่ต้องมานับว่าใช้กี่เครื่อง

ตัวอย่าง หนึ่งฟังก์ชั่นของธุรกิจอาจใช้เวลาคำนวณ 15 วินาที ธุรกิจก็จ่ายเงินเท่านั้นจริงและไม่ต้องเป็นห่วงว่าผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งจะใช้เซอร์เวอร์กี่เครื่องในการคำนวณ หรือแต่ละเครื่องจะใช้ซอฟท์แวร์อะไรและหรือต้องมีการเมนเทนแนนซ์อย่างไร

สิ่งที่ธุรกิจต้องบริหารจัดการเหลือเพียงการพัฒนาฟังก์ชั่นเท่านั้น ซึ่งการพัฒนาแต่ละแอพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจสตาร์ทอัพอาจประกอบไปด้วย 20-100 ฟังก์ชั่น

รูปแบบใหม่ของคลาวด์คอมพิวติ้งในครั้งนี้มีความเหมาะสมกับธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องการความคล่องตัว เพราะการที่ไม่ต้องบริหารจัดการเซอร์เวอร์ทำให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นทรัพยากรในการพัฒนาทีมวิศวกรทางซอฟท์แวร์ที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือโปรแกรมเมอร์ ส่วน วิศวกรทางซอฟท์แวร์อื่นๆ เช่น ผู้บริหารจัดการระบบต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงฐานข้อมูลจะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป

ธุรกิจสามารถเหลือวิศวกรเพียงประเภทเดียว นั่นก็คือโปรแกรมเมอร์ ที่สามารถสร้างสรรค์แอพพลิเคชั่นให้มีศักยภาพสูงสุด

อย่างไรก็ดี ความก้าวหน้าของคลาวด์คอมพิวติ้งในครั้งนี้ คงต้องสร้างปัญหาไม่น้อย กับผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติ้งที่ยังคงอยู่ในยุคเดิม เนื่องจากเทคโนโลยีสำหรับให้บริการ ในรูปแบบของ Amazon Lambda และจากคู่แข่งอื่นๆ ล้วนเป็นเทคโนโลยีชั้นสูง ที่ยังไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้ในขณะนี้

นอกจากนี้ยังเป็นกรณีของ Vendor Lock In เพราะหากธุรกิจเริ่มต้นใช้ Amazon Lambda การที่จะย้ายไปใช้คลาวด์คอมพิวติ้งของผู้อื่นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และเป็นงานหนักของโปรแกรมเมอร์ ที่ต้องพัฒนาใหม่เพื่อไปใช้บริการของรายอื่น

ยิ่งไปกว่านั้น คลาวด์คอมพิวติ้ง ที่สามารถให้บริการในรูปแบบนี้ได้ ยังไม่มีให้บริการในประเทศไทย โดยสิงคโปร์ เป็นศูนย์ให้บริการที่ใกล้เคียงที่สุดสำหรับภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ หากธุรกิจ โดยเฉพาะสตาร์ทอัพ เปลี่ยนมาใช้ คลาวด์คอมพิวติ้งยุคใหม่หมด ก็จะเป็นการย้ายฐานออกจากประเทศ และเป็นการยากยิ่งที่ไทยจะสามารถเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค

คลาวด์คอมพิวติ้งแห่งยุคสตาร์ทอัพ เป็นปรากฏการณ์ที่หลายคนรอคอยมานาน และเป็นก้าวเดินก้าวต่อไปที่สำคัญสำหรับโลกเทคโนโลยี