เมืองที่หายไป...พร้อมใบเสร็จ

เมืองที่หายไป...พร้อมใบเสร็จ

ใครที่ไปเยือนนครวัดและนครธม คงนึกไม่ถึงว่าสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งนี้ ครั้งหนึ่งได้ถูกป่าไม้ขนาดใหญ่ปกคลุม จนหายไปจากสายตามนุษย์ โดยสิ้นเชิง

จนกระทั่งนักพฤกษศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้ค้นพบปราสาทมหัศจรรย์แห่งนี้ หลังจากถูกผืนป่าใหญ่กลืนกินจนหายไปนานถึง 500 ปี 

แต่เมืองที่หายไปจากสายตามนุษย์ เป็นเวลายาวนานกว่านี้มาก ก็มีนะครับ นานถึง 1,500 ปีเลยทีเดียว...ผมไม่ได้พิมพ์ผิดครับ 1,500 ปี จริงๆ
เมืองนั้นมีชื่อว่า “ปอมเปอี” ซึ่งพวกเราเคยเรียนหนังสือกันมาตั้งแต่สมัยเด็กว่า ถูกภูเขาไฟวิสซูเวียสซึ่งระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ พ่นลาวา หิน และเถ้าถ่าน จำนวนมหาศาล กลบปอมเปอีหายไปทั้งเมือง เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 79

สองวันก่อน ผมได้ชมภาพยนตร์เรื่องปอมเปอี ที่ออกฉายทางทีวี แล้วก็เกิดอารมณ์รำลึกถึงเมืองนี้ขึ้นมา เมืองที่ได้จมหายไปใต้พื้นพิภพในระดับความลึก 4-6 เมตร นับจนถึงปีนี้ก็นานมากถึง 1,937 ปีแล้ว

ตอนที่ผมไปเยือนปอมเปอีเมื่อไม่กี่ปีก่อน ไกด์เล่าเรื่องราวต่างๆ ของปอมเปอีให้ลูกทัวร์ฟัง แล้วทิ้งท้ายว่า “ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ตั้งสองพันปีมาแล้ว เขารู้ได้อย่างไรว่าภูเขาไฟลูกนี้ระเบิดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 79”

ผมเลยขอยืมไมค์จากไกด์ แล้วอาสาเล่าให้เพื่อนร่วมทัวร์ฟังว่า นอกจากจะรู้ว่าวิสซูเวียส ระเบิด “วันที่เท่าใด” แล้ว เขายังรู้ด้วยว่า ระเบิด “เวลา 13.30 น.” ซึ่งก็ไม่น่าจะรู้เวลา “เป๊ะๆ” ได้ขนาดนั้น เพราะเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เพียง 50 ปี

แต่ที่รู้เช่นนั้นก็เพราะมีเด็กนักเรียนหนุ่มคนหนึ่ง เป็นคนช่างคิดช่างเขียน นามว่า “พลินี่” (Pliny) เขาอาศัยอยู่บนเกาะใกล้เคียง และได้เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วยสายตา และต่อมาได้บันทึกไว้เป็นจดหมายเหตุ 2 ฉบับ ส่งไปให้เพื่อนที่เป็นนักประวัติศาสตร์

บันทึกประวัติศาสตร์ของพลินี่ ทำให้เราได้รับรู้ความรุนแรงของระเบิดในครั้งนั้น ว่าหนักหนา เพียงใด ภาพยนตร์เรื่องปอมเปอีที่ผมได้ชม ก็คงสร้างฉากให้ใกล้เคียงกับที่เอกสารประวัติศาสตร์ชิ้นนี้ บันทึกไว้นั่นแหละ

ปอมเปอีจมอยู่ใต้ดินนานมาก จนถูกค้นพบอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปถึง 1500 ปีแล้ว นักสำรวจพบเมืองทั้งเมือง พร้อมโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมาก พวกเขาเทปูนปลาสเตอร์ลงไปในโพรงกระดูกเหล่านั้น เมื่อปูนปลาสเตอร์แข็งตัว ทำให้ได้ปูนปั้นที่หล่อขึ้นมาจนเป็นร่างของมนุษย์ชาวปอมเปอี ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ซึ่งส่อให้เห็นความหวาดกลัวสุดขีด
ถึงแม้ธรรมชาติจะโหดร้ายปานนั้น แต่การที่ปอมเปอีถูกกลบไปทั้งเมืองเป็นเวลากว่า 15 ศตวรรษ กลับทำให้เราได้มีโอกาสเรียนรู้จากหลักฐาน ที่ธรรมชาติได้ช่วยเก็บรักษาไว้ใต้ดินเป็นอย่างดี ว่าชาวโรมันสมัยศตวรรษที่ 1 นั้น มีชีวิตความเป็นอยู่เช่นใด

ใครที่มีโอกาสไปเยือนเมืองปอมเปอี จะได้เห็นเมืองทั้งเมือง และบ้านพักอาศัยของพวกเขา รวมทั้ง สถานที่พบปะสังสรรค์ของชาวเมือง วิหารต่างๆ โรงละคร อัฒจรรย์สำหรับชมการต่อสู้ของกลาดิเอเตอร์ ฯลฯ รวมทั้งยังพบ ซ่องโสเภณี อีกด้วย

นักสำรวจพบว่าปอมเปอีมีสถานบริการทางเพศ มากกว่า 40 แห่ง และแห่งที่ใหญ่ที่สุดตั้งอยู่กลางเมือง เป็นอาคารสองชั้น ชั้นล่างมีเตียงหินหลายเตียง ซึ่งเป็นสถานที่ให้บริการ ฝาผนังบางส่วนมีข้อความที่ลูกค้ามือบอน ได้เขียนบรรยายเรื่องราวต่างๆ ไว้ บางคนระบุชื่อของโสเภณีที่เขาได้ใช้บริการไว้ด้วย

ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ มีภาพเขียนบนฝาผนังปูนซึ่งเป็นภาพการร่วมรักในท่าต่างๆ อย่างชัดเจน ทั้งชายกับหญิง หญิงกับหญิง ฯลฯ และยังปรากฏหลักฐานว่ามีชายขายบริการด้วยเช่นกัน

สะท้อนให้เห็นว่ามนุษย์เมื่อ 2000 ปีที่แล้ว ก็มีความต้องการบริการพื้นฐาน ที่มิได้แตกต่างไปจากวันนี้เลย ที่เราพูดกันว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพเก่าแก่ที่สุดในโลกนั้น มีหลักฐานให้เห็นกันจะๆ อย่างนี้นี่แหละ

แต่ที่ผมอยากรู้ก็คือ เมื่อสองพันปีที่แล้ว มีการคอร์รัปชันที่ปอมเปอีด้วยหรือไม่ แต่ค้นหาอย่างไรก็ยังไม่พบครับ อย่างไรก็ตาม เมื่อผมค้นคว้าว่าอาณาจักรโรมัน ได้ล่มสลายลงเมื่อปี ค.ศ. 476 ด้วยสาเหตุใด ก็พบว่าหนึ่งในสาเหตุก็คือการคอร์รัปชันของผู้ปกครอง ได้แก่จักรพรรดิ์ และ วุฒิสมาชิกทั้งหลายนั่นเอง

ทำให้ผมเชื่อว่าคอร์รัปชันที่ปอมเปอี ก็น่าจะมีอยู่ค่อนข้างแน่นอน เพียงแต่ขุดเมืองขึ้นมาแล้วหา “ใบเสร็จ” ไม่เจอเท่านั้น เพราะใบเสร็จก็คงถูกลาวาเผาผลาญไปหมดแล้ว เลยเหลือหลักฐานเพียงแค่ “โรงโสเภณีเก่าแก่ที่สุดในโลก” กับภาพวาดอีโรติกบนผนังปูน เท่านั้น

คิดแล้วก็เสียดาย น่าจะมีเจ้าของสถานบริการที่ปอมเปอีสักคน สลักไว้บนฝาผนังว่า เขาต้องจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้เจ้าหน้าที่เดือนละเท่าใด ถ้าได้อย่างนี้ ก็จะพิสูจน์ได้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็น “ใบเสร็จค่าคอร์รัปชัน ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก” อีกเช่นกัน!