โลกยุคใหม่ ก้าวไปคู่เทคโนฯ

โลกยุคใหม่ ก้าวไปคู่เทคโนฯ

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี

กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไปทุกทิศทุกทาง ไม่ว่าต่อชีวิตประจำวัน หรือโลกแห่งธุรกิจ หรือบางครั้งกลายเป็นผสมผสานแยกไม่ออกทั้งธุรกิจ และส่วนตัว ยกตัวอย่างกระแสข่าวผู้ผลิตยางรถยนต์ชั้นนำระดับโลก ประกาศแบนยางพาราในพื้นที่ภาคอีสานของไทย หลังพบใส่ “กรดซัลฟิวริก” ในน้ำยาง เพื่อช่วยให้ยางเซ็ตตัวเร็ว ส่งผลคุณภาพยางล้อเสื่อมสภาพเร็ว และยังพับแผนก่อสร้างโรงงานมูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทในภาคดังกล่าว แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วบนสื่อออฟไลน์ และสื่อออนไลน์ โหมยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง สร้างกระแสตื่นตระหนกถ้วนหน้า กระทั่ง ผู้ผลิตยางต้องจัดประชุมด่วน และปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว ด้วยบริษัทไม่ได้ให้ข่าว และไม่ได้มีนโยบายแบนการรับซื้อ แม้สารดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อคุณภาพยางจริง แต่มอบหมายซัพพลายเออร์ให้ตรวจสอบ และคัดเลือกคุณภาพยางที่ส่งป้อนกระบวนการผลิต หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ซัพพลายเออร์ต้องเป็นคนเข้มงวดคัดเลือกยางส่งป้อนโรงงานนั่นเอง อย่างไรก็ตาม กระแสดังกล่าวมองในอีกแง่หนึ่ง นับเป็นเรื่องดีที่ก่อให้เกิดความตื่นตัวต่อการควบคุมคุณภาพเพื่อป้องกันปัญหา และหาแนวทางเพิ่มคุณภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ซึ่งต้องทำอย่างจริงจัง 

ไม่ใช่เฉพาะกระบวนการผลิตยาง กรีดยาง แต่การที่ไทยเป็นแหล่งอาหารของโลก แหล่งทรัพยากรด้านการเกษตรแหล่งสำคัญที่นำไปแปรรูป หรือปรุงแต่งอาหารหลากหลาย การควบคุมคุณภาพสินค้า หรือวัตถุดิบที่ปลอดภัยต่อตัวคน ต่อเครื่องจักรที่ต้องนำไปผลิตต่อ ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ และไม่นิ่งนอนใจ ปล่อยให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงตามมา ไม่ว่าจะเป็นการปลูกข้าว ข้าวโพด อ้อย หรืออื่นๆ ที่นอกจากจะจำหน่ายภายในประเทศแล้ว ยังต้องส่งออกด้วย ล้วนต้องเข้าสู่กระบวนการความปลอดภัย ตรวจสอบย้อนกลับได้ว่า แหล่งกำเนิดคือที่ไหน วันใด เวลาอะไรดำเนินการขั้นตอนใดๆ ต่อกระบวนการเพาะปลูกบ้าง ซึ่งเรื่องนี้เทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง ใช้เก็บข้อมูล ใช้แจ้งเตือนกำหนดการดำเนินการขั้นตอนต่างๆ ดังที่กล่าวข้างต้นว่า ชีวิตประจำวัน และโลกธุรกิจ ล้วนเกี่ยวพันกับเทคโนโลยีตั้งแต่ลืมตาตื่น จนกระทั่งนอนหลับ อย่างไม่สามารถปฏิเสธได้ แม้บางคนจะหลีกเลี่ยงใช้เทคโนโลยี ใช้วิถีชีวิตคืนสู่ธรรมชาติ หากในความเป็นจริงแล้ว เทคโนโลยีต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับคนยุคปัจจุบันไม่มากก็น้อย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ฉะนั้น ต้องหาวิถีทางที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยี ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่การดำรงชีวิต และการทำงาน การทำธุรกิจ

จากข้อมูลของเดลล์ ที่สนับสนุนไอดีซี บริษัทวิเคราะห์วิจัยระดับโลก เผยรายงานผลการศึกษาเน้นให้เห็นความเกี่ยวข้องอย่างจริงจังระหว่างนวัตกรรมไอทีและผลลัพธ์ทางธุรกิจขององค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 2,500 คน จาก 11 ประเทศทั่วโลก พบองค์กร 32% ตระหนักถึงอนาคต โดย 1 ใน 3 ของกลุ่มนี้เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นอนาคต อีก 18% เป็นองค์กรผู้สร้างอนาคต และกลุ่มองค์กรผู้สร้างอนาคตเป็นองค์กรที่พร้อมรับอนาคตมากที่สุด จึงเป็นกลุ่มที่จะนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โครงสร้างแบบควบรวมคลาวด์ โซลูชัน บิ๊กดาต้า และระบบวิเคราะห์ มาช่วยเพิ่มความคล่องตัว ขยายขีดความสามารถระบบงาน รวมถึงเรื่องสร้างนวัตกรรมทางธุรกิจได้ประสบผลสำเร็จ องค์กรผู้สร้างอนาคต จะมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างเด่นชัด แต่องค์กรที่เน้นเฉพาะปัจจุบันจะมีข้อได้เปรียบน้อยกว่า

องค์กรธุรกิจ ที่มองเห็นความเป็นไปในธุรกิจได้อย่างทันท่วงทีแบบเรียลไทม์ จะช่วยการตัดสินใจทางธุรกิจมีประสิทธิภาพและนำไปสู่ผลสำเร็จทางธุรกิจ เข้าถึงลูกค้าได้ง่าย และมีวิธีการใหม่ๆ ช่วยให้ทำธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีใหม่ที่หลังไหลเข้ามามากมายส่งผลกระทบอย่างจริงจังต่อคนทำงาน พนักงานคาดหวังจากนายจ้าง สถานที่ทำงานที่นำความล้ำหน้ามาใช้จะเป็นสถานที่ที่พนักงานต้องการทำงานด้วย โลกยุคใหม่ไม่ใช่องค์กรจะเลือกพนักงานเท่านั้น พนักงานก็เป็นฝ่ายเลือกองค์กรเช่นกัน ไทยแลนด์ 4.0 ก็ต้องใช้เทคโนโลยีขับเคลื่อนเช่นกัน