16 ปี แห่งความหลัง

16 ปี แห่งความหลัง

16ปี แห่งความหลัง

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ชื่อเรื่องไม่เกี่ยวกับชื่อเพลงของคุณสุรพล สมบัติเจริญนะครับ (เกิดไม่ทันครับ 555) ทั้งหมดเริ่มจากคำถามยอดฮิตที่ได้รับในตอนนี้ที่ว่า ตลาดหุ้นไทยร้อนแรงไปไหมและจะเกิด correction แรงหรือเปล่า ซึ่งแม้จะไม่มีใครตอบแบบฟันธงได้แต่ภาวะตลาดกระทิงที่ต่อเนื่องยาวนานแบบในขณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ หากลองมองย้อนไปในอดีตจะพบว่ามีตัวเลขทางสถิติที่น่าสนใจไม่น้อย และแม้จะไม่มีข้อกำหนดใดๆ ทางปัจจัยพื้นฐานที่บอกว่าอดีตต้องย้อนรอย แต่ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคแนวคิดเรื่องการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นที่ย้อนรอยอดีตก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องนี้จึงไม่มีถูก/ผิดร้อยเปอร์เซนต์ และการปรับพอร์ตเพื่อรับกับภาวะปัจจุบันจึงอยู่ที่ความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละท่านว่าควรจะตัดสินใจอย่างไร

ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นของไทยนับตั้งแต่ปี 2000 (ที่เลือกปีนี้เป็นจุดตั้งต้น เพราะไม่อยากเอาข้อมูลช่วงต้มยำกุ้งมาใช้ เนื่องจากตลาดตอนนั้นต่างจากตอนนี้มาก) เคยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องยาวนาน ทั้งหมด 8 ครั้ง (ไม่รวมครั้งนี้) โดยแต่ละช่วงอาจมีการย่อตัวเล็กๆ ไม่กี่เปอร์เซนต์ แทรกอยู่บ้าง แต่ถ้ายังไม่ correction แรงๆ เกิน8% จากจุดสูงสุดล่าสุดให้ถือว่าตลาดยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่องพบว่ามีตัวเลขสถิติที่น่าสนใจ

ตลอดการวิ่งขึ้น 8 ครั้งที่ผ่านมา พบว่าแต่ละครั้งมีความยาวนานตั้งแต่รอบละ 198 วัน ไปจนถึง 328 วัน (โดยมีค่ากลางราวๆ 220 วันหรือประมาณ 7 เดือน) โดยมีข้อสังเกตว่า 2 ครั้งหลัง เหมือนจะยาวนานกว่าครั้งก่อนๆ ทั้งนี้ ดัชนี SET Index แต่ละรอบ (ไม่นับปันผล) วิ่งขึ้นตั้งแต่ 31% ไปจนถึง 92% (ค่ากลางอยู่ที่ราวๆ 46% สำหรับรอบล่าสุดขณะนี้ (นับเป็นรอบที่ 9 ในรอบ 16 ปี) ดัชนี SET Index วิ่งขึ้นจาก 1,224 จุด ในเดือน ม.ค. มาอยู่ที่ 1,538 จุด ในเดือน ส.ค. หรือคิดเป็นการปรับขึ้นถึง 20% กินเวลามาแล้วกว่า 220 วัน โดยยังไม่มี correction ใหญ่ ซึ่งนับว่าเป็นการขึ้นที่วิ่งต่อเนื่องระยะเวลาใกล้เคียงกับขาขึ้นเฉลี่ย 8 ครั้งก่อนแล้ว เพียงแต่ขนาดเปอร์เซนต์ของการปรับขึ้นนับว่าไม่รุนแรง

ส่วนสถิติการย่อตัวหรือ correction พบว่าการย่อตัวของทั้ง 8 ครั้งดังกล่าวมีตั้งแต่ -8% ไปจนถึง -24% (ค่ากลางอยู่ที่ราวๆ -11%) และที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นก็คือ ในแต่ละครั้งที่มีการย่อลงมานั้น ตลาดหุ้นจะ rebound กลับขึ้นมาถึงจุดสูงสุดเดิมและทะลุขึ้นไปได้ทุกครั้ง โดยใช้เวลาการฟื้นกลับมาจุดสูงสุดเดิมดังกล่าวตั้งแต่ 16 วัน ไปจนถึง 240 วัน (ค่ากลางระยะเวลาฟื้นตัวอยู่ที่ราว 2 เดือน) โดยหมายเหตุไว้นิดนึงว่า กรณีที่ฟื้นช้าที่สุด (240 วัน) นั้นเกิดขึ้นในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงปลายของวิกฤติดอทคอม ซึ่งต่อด้วยการกดดันหลังเหตุก่อการร้าย 9-11 ที่สหรัฐฯ เลยทำให้การฟื้นช้ากว่าครั้งอื่นๆ อย่างมาก

จากตัวเลขทางสถิติทั้งหมด คงพอสรุปเป็นมุมมองต่อตลาดได้ ว่าหลังจากตลาดวิ่งขึ้นมาต่อเนื่องกว่า 7 เดือนนั้น โอกาสที่จะเกิดการ correction ของตลาดเริ่มมีมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ใครที่ลงทุนมาตั้งแต่ต้นปีก็น่าจะมีกำไรกันพอสมควร ดังนั้น การขายลดพอร์ตลงมาบ้างบางส่วน ก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ไม่มาก อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ โอกาสที่ตลาดจะไปต่อได้ก็ยังมี เพราะถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์ของการปรับตัวขึ้นมาในรอบนี้ก็แค่ 20% เท่านั้น (ไม่มากนักเมื่อเทียบกับค่ากลางของการ rally รอบใหญ่ๆในอดีต)

นอกจากนี้ ปัจจัยพื้นฐานในแง่ของ valuation ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าค่า Price to Earnings (PE) ของ SET Index (ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความแพงหรือถูกของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับกำไรของบริษัทจดทะเบียน) มีการปรับตัวสูงขึ้นเกินค่าเฉลี่ยมาพอสมควรแล้ว(แพงแล้ว) ดังนั้นหากมีข่าวร้ายอะไรหรือความผิดหวังตัวเลขใดๆ มากระทบความมั่นใจนักลงทุน ตลาดก็อาจจะเกิด correction หรือย่อลงมาแรงได้ (8 รอบในอดีต การย่อตัวอยู่ที่ราวเฉลี่ย -11%) แต่ทั้งนี้ การ correction ในรอบนี้อาจไม่แย่นัก เพราะรอบนี้ตลาดปรับตัวขึ้นมาน้อยกว่าครั้งก่อนๆ พอสมควรดังนั้นการ correction จึงอาจไม่รุนแรงนัก (ภายใต้สมมติฐานการ correction ชั่วคราวแบบไม่ถึงกับเปลี่ยนเทรนด์)

นอกจากนี้ เมื่อดูจากตัวเลขเศรษฐกิจ 2Q16 GDP ที่ออกมาล่าสุดก็ดีกว่าที่หลายสำนักคาด จึงมีโอกาสไม่น้อยที่จะมีการปรับขึ้นประมาณการเศรษฐกิจของสำนักวิจัยต่างๆ และเมื่อรวมกับผลประกอบการไตรมาส2 ของบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาไม่ได้ขี้เหร่อะไร ทำให้ในช่วงต่อไปอาจมีการปรับขึ้นประมาณการผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนตามมาด้วย ดังนั้นหากตลาดย่อตัวลงจริงก็น่าจะสามารถฟื้นกลับมาได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นแล้วในอดีตทั้ง 8 ครั้ง ที่ดัชนีฟื้นกลับมาได้ในระยะเวลาเฉลี่ยราว 2 เดือนและมีแนวโน้มจะทำจุดสูงสุดใหม่เมื่อเทียบกับยอดล่าสุดด้วย นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนก หากมีเงินสดเมื่อถึงตอนนั้นก็ทะยอยซื้อคืน หากขายไม่ทันก็อย่าถึงกับแตกตื่นหากตลาดเกิดการย่อตัวบ้าง ภายใต้ภาวะการณ์ปัจจุบันที่ไม่ได้มีวิกฤตเศรษฐกิจร้าย