โอลิมปิก กราวกีฬา กับ ยาโด๊ป

โอลิมปิก กราวกีฬา กับ ยาโด๊ป

กีฬาโอลิมปิก จะเริ่มต้นที่ริโอเดจาเนโร ในวันที่ 5 ส.ค.นี้ ทำให้ผมนึกถึงเพลง “กราวกีฬา” ที่มีเนื้อหากินใจไม่รู้ลืม

“กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน......” หรืออีกตอนที่ว่า “รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไว้ใจได้ทั่ว ทั้งรักชัง.....” หรือ “ไม่ชอบเอาเปรียบเทียบแข่งขัน สู้กันซึ่งหน้าอย่าลับหลัง.....” เป็นคำร้องที่เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เขียนไว้มีความหมายดีเหลือเกิน

ทุกถ้อยคำสะท้อนคุณค่าของการกีฬา จนกระทั่งใครก็ตามที่สู้ด้วยความสามารถและภายใต้กฎ กติกา มารยาท รู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย ก็จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่ “มีน้ำใจนักกีฬา”
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง วงการกีฬาก็ไม่ต่างจากวงการอื่น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี มีอิทธิพลของผลประโยชน์ต่างๆ พัวพัน จนนำไปสู่ความเสื่อมเสียอยู่บ่อยๆ

ไม่งั้นจะมีคำว่า ล้มบอล หรือ ล้มมวย หรือสู้ไม่สมศักดิ์ศรี ให้เราได้ยินหรือครับ หรือเวลาสู้เพื่อชัยชนะ แทนที่จะฝึกฝนร่างกายให้แข็งแกร่ง ศึกษาคู่แข่งอย่างรอบคอบ สู้ด้วยความสามารถและภายใต้กติกา บางคนกลับใช้ลีลาตุกติก พลิกแพลง แสวงหาความได้เปรียบรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่เล็กๆ น้อยๆ ไปจนกระทั่งผิดอย่างร้ายแรง เช่นใช้ ยาโด๊ป เป็นต้น

กีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ เกิดเรื่องอื้อฉาว เมื่อนักวิ่งสาวชาวรัสเซีย นามว่า ยูลิยา กับสามีของเธอชื่อ วิตาลี่ สเต็ปพานอฟ ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารหน่วยงานต่อต้านการใช้สารกระตุ้น ของรัสเซีย ได้ออกมา “เป่านกหวีด” ตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2010 ว่ามีการใช้สารกระตุ้นกับนักกีฬารัสเซีย จำนวนมากมายหลายร้อยคน ที่สำคัญคือทำกันทั้งระบบรวมทั้งโค้ช และหน่วยงานต่อต้านยาโด๊ปก็รับรู้ และ “ด้วยการรับรู้ของรัฐ” อย่างชัดเจน

ยูลิยา ก็ใช้สารกระตุ้นเช่นกัน จนเธอเริ่มตระหนักว่า มันกำลังจะทำร้ายร่างกายในระยะยาว จึงได้ออกมาเปิดเผยต่อสังคม แน่นอนว่าหลังจากนั้น เธอและสามีก็ต้องลี้ภัยออกจากรัสเซีย
การเปิดเผยของเธอในระยะแรก ไม่ได้ผลเท่าที่ควร แต่ต่อมาเมื่อมีรายงานออกมายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง จึงเกิดแรงกดดันจากทั่วโลก แม้รัสเซียจะพยายามดิสเครดิต ยูลิยาและสามี ด้วยเหตุผลต่างๆ นานา แต่เมื่อต้นปี 2559 นี้ กระแสเรียกร้องจากสังคมนานาชาติว่า นักกีฬาของรัสเซีย ควรจะต้อง “ถูกแบนหมดทุกคน” (Umbrella Ban) ก็หนักแน่นยิ่งขึ้น

เรื่องราวไปถึงการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของ “คณะกรรมการโอลิมปิกสากล” หรือ IOC เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง โดยสังคมกีฬา และองค์กรต่อต้านการใช้ยาโด๊ป ต่างมีความคาดหวังสูงว่าผลจะออกมาตามกระแสเรียกร้อง

แต่แล้ว โผกลับพลิก เมื่อ IOC ประกาศว่าจะไม่แบนนักกีฬาทุกคนของรัสเซีย แต่จะให้สหพันธ์กีฬานานาชาติแต่ละแห่ง เป็นผู้ตัดสินใจกันเอง ว่าจะแบนหรือไม่แบนนักกีฬาคนใด ซึ่งการตัดสินใจเช่นนี้ของ IOC เรียกเสียงตำหนิอย่างรุนแรง จากผู้นำขององค์การต่อต้านสารกระตุ้นระดับโลกอย่าง WADA และองค์กรอื่นๆ อีกมากมาย

2-3 วันที่ผ่านมา สหพันธ์กีฬาต่างๆ ได้ประกาศแบนนักกีฬารัสเซียไปแล้วหลายคน แต่ที่สำคัญก็คือ มติของ IOC มีผลให้ ยูลิยา ซึ่งเคยได้รับอนุญาตมาก่อน ให้ลงแข่งขันโอลิมปิกครั้งนี้ได้ ในฐานะ “นักกีฬาเป็นกลาง” (Neutral Athelete) กลับโดนแบนไปด้วย เพราะ “นักกีฬาทุกคนที่เคยถูกแบนมาก่อน จากใช้ยาโด๊ป จะไม่มีสิทธิ์ลงแข่งขัน” ผลอย่างนี้ ยิ่งทำให้ IOC ถูกครหาหนักยิ่งขึ้น ว่าไม่กล้าหาญและไม่ปกป้อง “คนเป่านกหวีด”

เรื่องราวเหล่านี้ ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจว่า ทำไม “ยาวิเศษ” ที่ “ทำคนให้เป็นคน” จึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ทำไมนักกีฬาแทนที่จะสู้ด้วยการฝึกปรือฝีมือ กลับพยายามชนะด้วยการใช้สารกระตุ้น และในกรณีรัสเซีย เลยเถิดเกินไปกว่านักกีฬา เพราะรัฐเป็นผู้รับรู้และเกี่ยวข้องทั้งระบบ

ผมคิดว่า ความหวานฉ่ำและผลประโยชน์ที่เกิดจากชัยชนะ เป็นแรงกระตุ้นพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งมีตั้งแต่เรื่องทั่วๆ ไปเช่น “เงินอัดฉีด” หรือโอกาสได้รับเงิน “สปอนเซอร์” ที่จะตามมาเมื่อได้ชัยชนะ ทำให้เกิดการตุกติกบ้าง เอาเปรียบเล็กน้อยบ้าง จนเลยเถิดไปถึงการใช้สารกระตุ้น นั่นเอง

เมื่อ วงการกีฬา ซึ่งได้รับการยกย่องว่า “แก้กองกิเลส ทำคนให้เป็นคน” ยังเป็นเช่นนี้ไปได้ แถมยังเคยลามปามไปถึงหลายประเทศ และองค์กรระดับนานาชาติอย่าง “ฟีฟ่า” มาแล้วด้วย วงการอื่น ซึ่งคนเล่นมี “กองกิเลส” ขนาดใหญ่ มันจะไม่ไปกันใหญ่หรือครับ แล้วจะ “ทำคนให้เป็นคน” กันได้อย่างไรเล่าครับ

วงการไหนของไทยที่เป็นเช่นนั้น ก็รีบแก้กันเถอะ อย่ามัวแต่รอ ม. 44 อยู่เลยครับ