คดีธัมมชโย...จะจบอย่างไร

คดีธัมมชโย...จะจบอย่างไร

เขียนเกี่ยวกับคดี พระธัมมชโย ช่วงนี้ นับว่าเสี่ยงมาก

 ไม่ใช่เพราะทางวัดกำลังไล่ฟ้องร้อง พวกที่ออกมาวิจารณ์หรือให้ข้อมูลผิดๆ ต่อสังคม (ตามที่ทางวัดเข้าใจ) แต่เป็นเพราะสถานการณ์ กำลังอยู่ในช่วงเข้าไต้เข้าไฟ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เขียนอะไรไปวันนี้อาจล้าสมัยได้ในวันรุ่งขึ้น

หลายวันมานี้ ฝ่ายที่ไม่เอาวัดพระธรรมกาย ก็พากันลุ้นให้ดีเอสไอเข้าไปจับกุม ข่าวลือมีตั้งแต่นายกฯจะใช้มาตรา 44 จะขอกำลังทหาร ขึ้น ฮ. โรยตัว หรือแม้แต่ใช้รถหุ้มเกราะเข้าไปรวบตัวในวัด ฯลฯ แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่

ขณะที่ฝ่ายสนับสนุนวัดพระธรรมกายก็พากันออกเคมเปญรักหลวงพ่อ เพื่อปลุกกระแสกดดันกลับไปยังฝ่ายเจ้าหน้าที่

ย้อนดูการบุกจับพระในบ้านเรา ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยหักหาญหรือกระทำรุนแรง เพราะอย่างไรเสียพระก็เป็นตัวแทนพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหนึ่งในแถบสี 3 สีบนธงชาติไทย

ดูจากอดีตพระยันตระ หรือแม้แต่หลวงปู่เณรคำ ส่วนใหญ่ก็จะยื้อกันจนนาทีสุดท้าย แล้วอลัชชีเหล่านี้ก็มักจะต้องย้ายสำมะโนครัว ไปอยู่ต่างประเทศ กลับไทยไม่ได้อีก

กรณีของพระธัมมชโย หากต้องการจับตัวเป็นๆ ประเมินว่าน่าจะยากยิ่งกว่า เพราะญาติธรรมผู้ศรัทธายังมีมาก สอดคล้องกับข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงที่ระบุว่า ปัจจุบันวัดในเมืองไทยราว 60% และวัดไทยในต่างประเทศอีกส่วนหนึ่ง เป็นเครือข่ายของวัดพระธรรมกาย ซึ่งไม่ใช่แค่เลื่อมใส แต่เป็นเครือข่ายที่เอื้อเรื่องผลประโยชน์

หากมีการจับกุม แล้วมีการลุกฮือของเครือข่ายเหล่านี้ ย่อมสร้างความแตกแยกในบ้านเมืองหนักเข้าไปอีก ในทางกลับกัน หากพระธัมมชโยคิดหนี ก็ไปได้แทบจะทั่วโลกที่มีวัดในเครือข่ายรองรับ

ฉะนั้นคนที่หวังจะเห็นภาพการจับกุม พิมพ์มือ บันทึกประวัติ หรืออาจจะภาพจับสึก ก่อนส่งเข้าห้องขังเพราะไม่ให้ประกันตัว ฯลฯ ประเมินแล้วน่าจะยาก

ว่ากันตามจริง วันนี้พระธัมมชโยยังอยู่ในวัดหรือเปล่าก็บอกยาก เพราะภาพบางภาพที่ทางวัดพยายามเผยแพร่ แล้วย้ำว่าเป็นภาพเรียลไทม์นั้น มีผู้เชี่ยวชาญด้านพิสูจน์หลักฐานบางท่านตั้งข้อสังเกตไว้เหมือนกันว่าเป็นเทคนิคภาพซ้อนหรือเปล่า ขณะที่พระภิกษุผู้ใกล้ชิดกับพระธัมมชโย หลายรูปก็หายหน้าไป จากที่เคยออกสื่ออยู่ประจำ

ส่วนเรื่องอาพาธหนัก ขาซ้ายติดเชื้อ ค่อนข้างชัดว่าเชื่อยาก เพราะทีมงานไม่เคยเปิดสบง จีวร ให้เห็นกันจะๆ เลย ถ้าไม่เปิดคนละครั้ง คือเปิดหน้าไม่เห็นขา เปิดขาไม่เห็นหน้า ก็เป็นการเปิดแบบพยายามปกปิด คือเปิดอย่างค่อนข้างมีพิรุธ

ที่สำคัญหากป่วยหนักจริงผู้ต้องหาไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะใช้อาการป่วยให้เป็นประโยชน์อยู่แล้ว ย่อมต้องเปิดตัว ไปรักษายังโรงพยาบาลที่สังคมยอมรับ ซึ่งก็จะเรียกคะแนนสงสารได้อีกมาก

มีคำถามอีกว่า เมื่อไม่อาพาธหนัก เหตุใดจึงไม่มอบตัว เพราะจริงๆ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน พระธัมมชโยก็เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดียักยอกทรัพย์วัดพระธรรมกายมาแล้ว (ผันเงินบริจาคของวัดออกไปยังเครือข่ายลูกศิษย์ และบริษัทที่เปิดขึ้นเพื่อทำธุรกิจอสังหาฯ) และเคยไปรับทราบข้อกล่าวหาที่กองปราบด้วย

ครั้งนั้นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคือ พล.ต.ท.วาสนา เพิ่มลาภ และมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เป็นมือทำงานสำคัญ น่าเสียดายที่คดีถูกฟ้องขึ้นสู่ศาล จนศาลจะตัดสินอยู่รอมร่อแล้ว อัยการสูงสุดดันสั่งถอนฟ้อง เหตุการณ์นี้เกิดในสมัยรัฐบาลคุณทักษิณ

ส่วนคดีใหม่ที่พระธัมมชโยกำลังโดนอยู่นี้ ว่ากันว่าหลักฐานแน่นกว่าครั้งก่อน เพราะกฎหมายไทยเองก็ก้าวหน้าพัฒนาขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะกฎหมายฟอกเงิน

หากเข้ามอบตัว มีโอกาสสูงมากที่จะไม่ได้ประกันตัว และอาจต้องถูกจับสึก เพื่อส่งตัวเข้าห้องขัง...อาจจะเพราะเหตุนี้ จึงยอมไม่ได้ที่จะเข้ามอบตัว

ปัญหาคือ ดีเอสไอได้พลาดจังหวะงามๆ หลายจังหวะ ที่สามารถดำเนินการแจ้งข้อหาตามกระบวนการได้ หรืออย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าพระธัมมชโยป่วยจริงหรือไม่ แต่ก็ปล่อยให้จังหวะเหล่านั้นผ่านไป จนถึงวันนี้ที่มวลชนของวัดปิดล้อมเจ้าอาวาสที่พวกเขาศรัทธาอย่างแน่นหนาหมดแล้ว

งานนี้จึงต้องถามดีเอสไอด้วยว่า จงใจทำให้เรื่องยืดเยื้อบานปลายเพื่อกระทบชิ่งไปถึงผู้ใด หรือมีวาระอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังบ้างหรือเปล่า โดยเฉพาะการเบี่ยงประเด็นการเสนอ นามสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ใหม่... งานนี้น่าติดตาม